ลุงพลควงทนายขึ้นเขาเหล็กไฟ วิเคราะห์จุดตายชมพู่ หวั่นคดีพลิกถูกจับ (คลิป)

เมื่อวันที่ 27 ก.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปที่บ้านของนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ลุงของน้องชมพู่ ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร ซึ่งมีนายกฤษฎา โลหิตดี หรือ ทนายโนบิตะ ทีมทนายลุงพล ได้เดินทางมาที่บ้านลุงพล ได้ล้อมวงปรึกษาเกี่ยวกับความคืบหน้าทางคดี และความกังวลต่าง ๆ พร้อมทั้งได้นำประเด็นข้อสงสัยของตำรวจ มาพูดคุยเพื่อหาคำตอบ และเตรียมข้อมูลสำหรับสู้กันในชั้นศาล หากลุงพลถูกเรียกสอบหรือออกหมายจับ

คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่  

แต่สาระสำคัญที่มีการพูดคุยกัน คือ สิ่งที่ตำรวจสงสัยเวลาที่ลุงพลไปรับส่งพระ แล้วมีเวลาส่วนต่างประมาณ 7 นาที และประเด็นกระสอบข้าว หรือกระสอบปุ๋ย แต่วันนี้จะเน้นหาคำตอบ ตามเอกสารแถลงการณ์คืบหน้าคดีชมพู่ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.63 ระบุว่า เด็กเดินขึ้นเขาไปตายเอง, และมีคนพาเด็กไป ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ทนายความและลุงพล จะเดินขึ้นเข้าเพื่อพิสูจน์ความจริงในประเด็นนี้

ในเวลาประมาณ 11.40 น. ทนายโนบิตะ เดินทางพร้อมลุงพล ไปที่ตีนเขาภูเหล็กไฟ เริ่มต้นออกเดินทาง โดยใช้ทางหลักซึ่งเป็นทางตรง มุ่งหน้าไปที่จุดเจอศพ แต่สังเกตว่าตลอดทางทนายโนบิตะ จะใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพนิ่ง รวมถึงจดบันทึกตลอดทาง โดยแวะที่จุดน้ำประปา จุดความชันใช้มือถือวัด เดินผ่านจุดเจอแหวนแต่ไม่แวะ และไปที่จุดเจอรถของเล่นแบ็กโฮที่พัก 3 เดินขึ้นไปที่พัก 4 จุดเจอรองเท้า เดินต่อไปที่จุดเจอกางเกงและรอยหญ้าล้ม สุดท้ายเดินไปที่จุดเจอศพเป็นจุดสุดท้าย ซึ่งตลอดทางมีการแวะพัก 3 ครั้ง บริเวณพักที่ 1 พักที่ 2 และพักที่ 3 รวมระยะทาง 950 เมตร 

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายกฤษฎา โลหิตดี หรือทนายโนบิตะ เปิดเผยว่า คดีผ่านไปกว่า 139 วัน ตำรวจชี้แจงความคืบหน้าล่าสุดไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค.63 แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ตนในฐานะทีมทนาย จึงลงพื้นที่เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยในคดี โดยต้องหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพราะหากตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาลุงพล ตนก็พร้อมให้ความช่วยเหลือทันที

สำหรับการจดบันทึกของทนาย คือ บันทึกเพื่อหักล้างข้อสงสัย กรณีน้องชมพู่เดินขึ้นเขาเอง หรืออาจเป็นไปได้หรือไม่ที่มีคนอุ้ม หรือพาน้องมาบนเขา แต่ทั้งนี้ตนก็จะต้องอ้างอิงถึงลักษณะ หรือช่วงเวลาการตาย ดังนั้นผลชันสูตรก็ออกมาทราบแน่ชัดว่า น้องตายเอง แต่ทั้งนี้การลงพื้นที่ จึงเป็นการหาคำตอบว่า ตายเองด้วยวิธีใด เช่น การเดินหลงทาง หรือใครพามาแล้วน้องตาย แต่ขอยืนยันในฐานะผู้ที่เข้ามาสัมผัสพื้นที่จริง เด็กจะไม่สามารถขึ้นมาตายได้เองอย่างแน่นอน เพราะทางลำบากมากสำหรับเด็ก 3 ขวบ

ทนายโนบิตะ บอกว่า แนวทางทางคดีมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% ดังนั้นการขึ้นเขาครั้งนี้ จึงเป็นการเตรียมข้อมูลสำหรับตอบคำถามมากกว่า แต่ไม่ได้เป็นการเตรียมพยานหลักฐานเพื่อจะสู้ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นสำหรับในฐานะผู้ที่เป็นทนายความ จะต้องรู้ลักษณะพื้นที่จริงของภูเขา โดยสามารถตอบคำถามกรณีเกิดข้อสงสัยได้ แต่ก็ยอมรับว่าการขึ้นมาวันนี้ แม้จะต่างไปค่อนข้างมาก แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ชัดว่า พื้นที่จริงเป็นอย่างไร สูงชันแค่ไหน

ส่วนที่ตำรวจยังสงสัยเรื่องเวลา 7 นาที กับเรื่องกระสอบ ตนมองว่า เป็นสิ่งที่สามารถสงสัยได้ เพราะคนเราใช้เวลาที่ต่างกัน ไม่สามารถรู้เวลาที่แน่ชัดได้ เกิดจากการคาดเดาทั้งสิ้น สำหรับกรณีกระสอบ ตนมองว่า ถ้าตำรวจเก็บไปตรวจดีเอ็นเอ หากมีดีเอ็นเอลุงพล และมีดีเอ็นเอน้องชมพู่ติดอยู่ด้วย จนถึงปานนี้คงไม่รอดคุกไปนานแล้ว

ด้านนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ลุงน้องชมพู่ เปิดเผยว่า การขึ้นเขาพร้อมทนายวันนี้ เป็นการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการว่าความให้ หากวันหนึ่งอาจถูกเรียก หรือออกหมายจับ อย่างน้อยทีมทนายก็จะตอบข้อซักถามหรือข้อสงสัย โดยตนพาทนายไปดู คือ จุดเดิม ๆ ที่เคยพาตำรวจขึ้นมาดูในแต่ละครั้ง ไม่มีจุดที่แตกต่าง แต่เน้นพิสูจน์ว่า น้องชมพู่เดินขึ้นเขาเองไม่ได้

ส่วนการย้อนกลับขึ้นเขาวันนี้ ลักษณะสภาพแวดล้อม มีความแตกต่างกันมาก ทั้งเรื่องต้นไม้ใบหญ้า และอุญหภูมิ และหลังเกิดเหตุ แทบไม่มีชาวบ้านขึ้นมาตรงจุดนี้ เพราะกลัวเรื่องคดีความ จึงทำให้หญ้าขึ้นรกสูง เนื่องจากปกติชาวบ้านจะนำวัวควายมาปล่อย ทำให้ช่วยกินหญ้าให้โล่งเตียน

ทั้งนี้กรณีหลายคนกังวล และเป็นห่วงเรื่องกระสอบข้าวหรือกระสอบปุ๋ยของลุงพลนั้น ลุงพล มองว่า ไม่มีทางใดที่จะเป็นไปได้ ที่จะซ่อนเด็กในกระสอบ หรือนำเด็กไปยัดไว้ในรถ และที่ตนร่วมสาธิตกับทีมข่าวก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แสดงให้เห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ให้คลายความสงสัย