กรณีโลกโซเชียลฯ แชร์เรื่องราวของ "ครูจุ๋ม" ทำร้ายลูกศิษย์ และเป็นกระแสข่าวโด่งดัง โดยหลังเป็นข่าวพบว่าครูจุ๋มได้เดินทางกลับบ้าน ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
คลิกอ่านข่าว "ครูจุ๋ม" ทั้งหมดที่นี่
ล่าสุดวันที่ 29 ก.ย.63 พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รอง ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า ตนรับมอบหมายมาจากท่าผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้มาดูแลและสอบสวนในสำนวนคดีนี้ ซึ่งวันนี้ได้ประชุมเรียบร้อยเเล้วและได้กำหนดการ ดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด ประการที่ 1 คือ ให้ย้อนดูกล้องทุกมุม ดูให้ครบทุกห้องเรียนว่า มีการกระทำความผิดอะไรเกี่ยวข้องกับเด็กบ้าง หากมีไม่ว่าครูคนใดจะดำเนินคดีตามความผิด
เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวครูจุ๋มกับครูเปิ้ล ส่งศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ทราบว่าแจ้งข้อหากับครูจุ๋ม 2 ข้อหาคือ ทำร้ายร่างกาย กับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ส่วนครูเปิ้ล แจ้งกระทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เพียงข้อหาเดียว ซึ่งตำรวจได้คุมตัวทั้งคู่ออกทางหลังโรงพัก โดยระหว่างเคลื่อนย้าย ทั้งคู่ไม่ได้ตอบอะไรที่นักข่าวถามแม้แต่น้อย
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของนางทวี อาย 62 ปี จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นมาราดาของครูจุ๋ม พบนางทวี เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตอนนี้รู้สึกเครียดหนัก และโรคเบาหวานกำเริบไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะกราบขออภัยกับทางผู้ปกครองและสังคม ตอนนี้ตนไม่อยากพูดอะไรแล้ว เพราะพูดไปก็เป็นการแก้ตัว ส่วนครูจุ๋มตอนนี้อยู่กัยเพื่อนที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ตนในฐานะแม่ก็เป็นห่วง แต่เมื่อทราบว่ายังสบายดีก็เบาใจ
ทนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้พาผู้ปกครองห้องเนอร์สเซอรี่กว่า 10 คนมาเพื่อแจ้งความ และผู้ปกครองบางคนก็ได้ทยอยมาแจ้งความก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ครูแพรวที่ทุบตีเด็กได้โทรศัพท์ขอผู้ปกครองว่าอย่าแจ้งความ ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ ได้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในห้องเนอร์สเซอรี่ A, B และ C เพื่อดูว่าครูมีพฤติกรรมทำร้ายเด็กหรือไม่ และจะให้ผู้ปกครองเพื่อที่จะได้แจ้งความในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนยังไม่มีใครมาให้คำตอบผู้ปกครองว่าจะรับผิดชอบอย่างไร นอกจากคืนค่าเทอม ซึ่งตนมองว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับจิตแพทย์ทั้งเด็กและผู้ปกครอง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ รวมถึงการย้ายที่เรียนของเด็ก ก็ยังไม่มีการรับผิดชอบ
น้องเทมส์ ถูกทุบหลัง กระชากใบหู และถูกทุบตีขณะเข้าห้องน้ำ อีกทั้งยังถูกยาดมป้ายตา วันที่ 17 ก.ย.63 เวลา 10.36 น. และกลัวคนแปลกหน้า กลัวการเข้าห้องน้ำ
น้องเสือ ถูกบิดหูแล้วดึงอย่างแรง วันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 10.16 น. และมีอาการหวาดผวา
น้องเอ็นเจ ถูกตีเมื่อต้นเดือน ม.ย.63 และกลัวการไปโรงเรียน อีกทั้งมีพฤติกรรมเลียนแบบ กลายเป็นเด็กก้าวร้าว
น้องโอมห์ ถูกผลักจนล้มหลายยครั้ง ชี้หน้าด่า ถูกขังเดี่ยวในห้องน้ำ วันที่ 16 ก.ย.63 เวลา 11.05 น. และกลัวการไปโรงเรียน
น้องอชิ ถูกกระชากศีรษะ วันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 10.33 น. และกลัวการไปโรงเรียน มีพฤติกรรมเลียนแบบก้าวร้าว
น้องอาร์ตี้ ถูกฝ่ามือฟาดกลางหลังอย่างแรง จนหลังแอ่น วันที่ 16 ก.ย.63 และมีพฤติกรรมเลียนแบบกลายเป็นเด็กก้าวร้าว
น้องคาราเมล ถูกดึงศีราะเพื่อไปมัดผม ถูกผลัก และถูกหยิก วันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 10.16 น. และมีอาการเพ้อ ละเมอขณะหลับ
น้องรีวิว ถูกหยิกหู และจิกผม วันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 10.32 น. และกลัวการไปโรงเรียน
น้องหมิงหมิง ถูกผลักที่ศีรษะจนล้มลงกับพื้น ในวันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 10.37 น. และกลัวการไปโรงเรียน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายณรงค์ ศรีฟ้า อายุ 32 พ่อน้องเก้า เด็กหญิงวัย 3 ขวบ 2 เดือน เปิดเผยว่า น้องเก้า เรียนอยู่ห้อง ABP 1/1 เป็นห้องที่มีคุณครูแพร เป็นครูประจำชั้น จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด วันที่ 22 ก.ย.63 เวลา 15.22 น. พบว่าลูกสาวซึ่งกำลังนั่งเรียนอยู่ที่เก้าอี้ในห้องเรียน ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ กำลังนั่งเขียนหนังสือ เป็นชั่วโมงเรียนพิเศษถูกครูแพรเดินเข้ามากระชากที่แขน แล้วเหวี่ยงน้องไปทางเก้าอี้ มาบอกพ่อแม่แค่ว่า "ครูแพรโยนกระเป๋าน้องเก้า"
ภายหลังจากเห็นคลิป ยอมรับว่า "นอนไม่หลับ เสียใจ เครียดมาก" ที่ส่งลูกมาเรียนแต่กลับต้องเจอความรุนแรงจากครูผู้สอน ต้องเจ็บตัวรับกรรม เป็นเหมือนความผิดของตน โดยปกติน้องเก้าเป็นเด็กร่าเริง แต่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะด้านอารมณ์ มีความรุนแรง ขว้างปาสิ่งของ ตบหน้าผู้ใหญ่
เบื้องต้น ตนยังไม่ได้พูดคุยกับครูแพร มีเพียงการคุยในกลุ่มไลน์เท่านั้น โดยครูแพรส่งข้อความมาแสดงความเสียใจทางไลน์ โดยมีเนื้อหาทำนองว่า "คุณพ่อคะ ถ้าแพรลาออกจะทำให้คุณพ่อรู้สึกดีและสบายใจขึ้นไหมคะ แพรระอายใจค่ะ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น นอนคิดทั้งคืน แต่ถ้าการลาออก ทำให้พ่อสบายใจ แพรก็จะออกค่ะ"
อย่างไรก็ตาม นายณรงค์ พ่อน้องเก้า มองว่าการลาออกของครูเพื่อรับผิดชอบยังน้อยไป และยืนยันว่าจะดำเนินการให้น้องเก้าลาออกจากโรงเรียนแห่งนี้ เพราะรู้สึกไม่ไว้ใจและไม่สบายใจให้ลูกเรียนแล้ว
ขณะที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี วันนี้เปิดทำการเรียนการสอนตามปกติ มีนักเรียนเดินทางมาเรียน ตลอดจนมีผู้ปกครองเดินทางมารอฟังคำแถลงการณ์ชี้แจงจากทางโรงเรียน โดยคาดว่าจะมีการแถลงข่าวในเวลา 12.00 น.
ในเช้าวันนี้ นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาฯ กช.) ผู้บริหารส่วนกลางโรงเรียนสารสาสน์ และครูโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ได้เข้าพูดคุยกับผู้บริหารของโรงเรียนเพื่อหาทางออกร่วมกัน ก่อนจะมีการแถลงข่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. กลุ่มผู้ปกครอง เดินทางมาที่อาคารเรียนระดับชั้นอนุบาล ก่อนจะบุกเข้าไปยังหน้าห้องประชุมที่ชั้น 1 ของอาคาร ซึ่งเป็นห้องประชุมที่มี เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาฯ กช.) ผู้บริหารส่วนกลางโรงเรียนสารสาสน์ และครูโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ร่วมประชุมกันอยู่ ซึ่งผู้ปกครองบุกเข้าไป เพื่อขอให้โรงเรียนออกมาชี้แจง มีการตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่บุคลลากรของโรงเรียนเป็นระยะอย่างรุนแรง
ภายหลังจากเริ่มการหารือและพูดคุยกัน มีหนึ่งในผู้ปกครอง ระบุว่า ส่วนตัวต้องการให้โรงเรียนเปิดเผยแนวทางการช่วยเหลือเยียวยา รวมถึงเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ในโรงเรียนทุกจุด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยระหว่างที่มีการชี้แจงในหอประชุมนั้น ค่อนข้างเป็นไปอย่างตึงเครียด มีบางช่วงบางตอนกลุ่มผู้ปกครองส่งเสียงไล่โห่ ด่าทอการทำงานของผู้บริหารโรงเรียนด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งการชี้แจงพูดคุยกับทางโรงเรียนครั้งนี้ มี "ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศธ. กระทรวงศึกษาธิการ" มาเป็นตัวกลาง พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และผู้บริหารโรงเรียน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ร่วมสังเกตการณ์
ดร.กนกวรรณ ยืนยันว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีมวยลมแน่นอน ทุกเรื่องที่ไม่โปร่งใส หรือผิดต่อข้อกำหนดกฎหมายจะดำเนินคดีทุกส่วน เบื้องต้นตนได้มอบหมายให้ "คุรุสภา" ดำเนินการแจ้งทุกข์กล่าวโทษ ผู้บริหารโรงเรียนและครูที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งหากพบว่าครูผู้สอน ครูพี่เลี้ยง ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จะดำเนินการเอาผิดทั้งหมด
ดร.กนกวรรณ ระบุต่อว่า มีการแต่งตั้ง "นาย กมล รอดคล้าย" ที่ปรึกษา รมช.ศธ. เป็นประธานคณะกรรมการแจ้งความดำเนินคดีผู้บริหารโรงเรียน และมี "นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และเลขาคุรุสภา ร่วมดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย
ภายหลังจากที่มีโรงเรียนสารสาสน์มีการชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครอง มีการพูดคุยและยื่นข้อเสนอต่อโรงเรียน โดยมี ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาเป็นตัวกลางพูดคุย จากนั้น นางวารุณี เผือกเทศ รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ได้มาฟังข้อตกลงตามข้อเรียกร้อง โดยผู้ปกครองได้ยื่นข้อเรียกร้อง 14 ข้อเรียกร้องกับทางโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ขอให้เยียวยา ปรับปรุงแก้ไข เพื่อคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียนที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นางวารุณี เผือกเทศ รักษาการ ผอ.รร.สารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์ รับปากในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องที่ผู้ปกครองเสนอมา ทั้งการตรวจประวัติครูต่างชาติทุกคน แต่ยกเว้นค่าเสียเวลา ค่าน้ำมัน และค่าทำขวัญเด็กและผู้ปกครอง รวมถึงค่าเทอมของเด็กที่ผู้ปกครองประสงค์จะให้เรียนต่อ แต่ไม่ได้มาเรียน 1 เดือน เนื่องจากข้อเรียกร้องเหล่านี้ จะต้องนำไปหารือกับคณะกรรมการผู้บริหารโรงเรียนเสียก่อน โดยจะให้คำตอบในวันที่ 5 ต.ค.63
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. ที่หอประชุมโรงเรียนสารสาสน์ ภายหลังจากที่มีการหารือข้อเสนอของกลุ่มผู้ปกครองต่อโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์ชัยพฤกษ์นั้น ภายหลังจากประชุมหารือ นานกว่า 1 ชั่วโมง ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า คณะกรรมการรับข้อเรียกร้องของผู้ปกครองไปปฏิบัติทันที 7 ข้อดังนี้
1. ผู้ปกครองสามารถดูกล้องวงจรปิดได้ ทั้งในห้องนอน ทางเดินและห้องน้ำ
2. ดำเนินการจัดนักจิตวิทยามาเยียวยาจิตใจ นักเรียนและผู้ปกครอง
3. ดำเนินการมีการปรับเวลาอาหารกลางวัน เพิ่มเป็น 40 นาที
4. ดำเนินการปรับปรุงระบบสาธารณสุขภายในโรงเรียน
5. ดำเนินการสั่งตรวจสอบมาตรฐานรถโรงเรียน หลังจากพบว่า สภาพรถแออัด เด็กนักเรียนยืนตลอดเส้นทาง
6. ดำเนินการให้ดูแลเรื่องการดื่มน้ำ และเข้าห้องน้ำของเด็กนักเรียน
7. ดำเนินการ ประชุมผู้ปกครองทุกปีการศึกษา
ทั้งนี้ ดร.กนกวรรณ ยืนยันว่า จะติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด และพร้อมรับฟังปัญหาของผู้ปกครองทุกคนและจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ น.ส.ปลา ผู้ปกครองของน้องณดา ชั้นอนุบาล 1 ห้องบี ได้เดินทางมาสอบถามความจริงกับครูประจำชั้นและครูเจี๊ยบ หลังเห็นคลิปวงจรปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ในคลิปวงจรปิด พบว่าขณะที่น้องณดานั่งอยู่เก้าอี้เรียนตามปกติ และกำลังจะยกขาขึ้น จังหวะนั้นครูเจี๊ยบยกเก้าอี้ผ่านตัวน้อง น้องจึงพยายามขยับขาหลบ หลังจากวางเก้าอี้ครูเจี๊ยบหันมาใช้ฝ่ามือตีก้นน้องณดาอย่างแรง
อีกทั้งขณะที่มีการสอนมีการใช้ฝ่ามือฟาดตีขา 2 ครั้ง อย่างแรง ซึ่งแม่ปลา ตั้งคำถามกลับไปว่า "ครูตีน้องทำไม น้องทำผิดอะไร" วันนี้จึงเดินทางมาเพื่อถามครูเจี๊ยบและครูประจำชั้นด้วยตนเอง แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่าครูประจำชั้นชิงลาออกไปก่อนแล้ว ส่วนครูเจี๊ยบพูดในทำนองปฏิเสธไม่ได้ทำ แม่น้องณดาจึงให้ดูหลักฐานคลิปวงจรปิดชัดเจน สุดท้ายครูเจี๊ยบและทางโรงเรียนไม่มีคำอธิบายชี้แจง
โดยหลังจากนี้จะรวบรวมคลิปกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมก่อนเดินทางไปแจ้งความที่ สภ.ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี และยืนยันว่าจะให้น้องณดา ลาออกจากโรงเรียนอย่างแน่นอน
ทั้งนี้แม่น้องณดา งัดข้อความการสนทนาทางไลน์ โดยเป็นข้อความที่ ครูประจำชั้น ของน้องณดา ส่งมาขอโทษภายหลังจากที่ ลงมือตีน้องณดา โดยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
พร้อมกันนี้ แม่น้องณดา ยังบอกด้วย ในช่วงที่มีข่าวครูจุ๋มทำโทษนักเรียน ไม่คิดว่าจะเกิดกับลูกตนเอง กระทั่งเห็นคลิปวงตรปิดจากห้องเรียนน้องณดา ซึ่งมีพฤติกรรมกระชากเด็กดึงคอเสื้อ เอาดินสอจิ้มที่คอเด็กคนอื่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.หลิน อายุ 43 ปี แม่น้องกะทิ เด็กหญิงอายุ 4 ขวบ 2 เดือน นักเรียนชั้นอนุบาล 1 ห้อง KG-1 เปิดเผยว่า ในห้องเรียนมีครูทั้งหมด 3 คน ประกอบด้วย "ครูบลู" เป็นครูประจำชั้น, "ครูเจี๊ยบ" เป็นพี่เลี้ยง และ "ครูสตาร์" เป็นครูต่างชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนไม่คาดคิดว่าลูกสาวจะถูกครูลงโทษทำร้าย
กระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีการขอคลิปวงจรปิดจากโรงเรียนดู และพบว่าน้องกะทิ ถูกทำร้ายร่างกายเช่นเดียวกัน คือ ครูยกตัวน้องกะทินั่งบนเก้าอี้อย่างแรง ก่อนจับมือวางบนโต๊ะอย่างแรง รู้สึกว่าทำรุนแรงเกินไป เพราะน้องกะทิ เป็นเด็กร่างกายไม่แข็งแรง น้ำหนักเพียง 10 กก.เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังพบคลิปวงจรปิดบันทึกภาพน้องกะทิปัสสาวะในห้องเรียน จากนั้นครูเจี๊ยบกำลังเปลี่ยนกางเกงชุดใหม่ให้ แต่กลับไม่พาไปล้างตัวในห้องน้ำก่อน และไม่ยอมพาไปเปลี่ยนในห้องน้ำ พื้นที่มิดชิด ไม่มีสุขอนามัยและเข้าข่ายกระทำอนาจารลูก เนื่องจากภายในห้องเรียนมีเด็กนักเรียนผู้ชายอยู่ด้วยหลายคน
ขณะเดียวกัน น.ส.หลิน เปิดเผยข้อมูลข้อความไลน์ที่ครูบลู ส่งข้อความเข้ามาขอโทษกับแม่น้องกะทิ โดยมีข้อความในทำนองระบุว่า "ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังและเสียใจ" ขอน้อมรับทุกอย่าง พร้อมจะยื่นเรื่องลาออกทันที เพราะคิดว่าไม่มีคุณสมบัติความเป็นครู
ขณะเดียวกันที่หน้า สภ.ชัยพฤกษ์ ก็มีกลุ่มผู้ปกครองกว่า 10 คน ซึ่งเป็นผู้ปกครองของห้องเนอร์สเซอรี่ มารอลงบันทึกประจำวัน และเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดของห้องเนอร์สเซอรี่ A, B และ C เพื่อดูพฤติกรรมของครูแพรว ที่เป็นผู้สอนว่ามีพฤติกรรมทำร้ายบุตรหลานหรือไม่
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.กัญพร ปุวังกร แม่ของน้องต้นข้าวและน้องต้นหอม สองพี่น้องฝาแฝดหญิงวัย 2 ขวบ 2 เดือน ที่เรียนอยู่ห้องเนอร์สเซอรี่ A ที่มีครูแพรวเป็นผู้ดูแล
โดยน.ส.กัญพร เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้น้องต้นหอม ลูกสาวแฝดน้อง มีพฤติกรรมที่ขี้ตกใจมากขึ้น เมื่อกินนมได้ไม่นานก็มักจะขว้างขวดนมทิ้งเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ซึ่งช่วงแรกตนคิดว่าลูกสาวอาจจะมีปัญหาทางช่องปาก อย่างเช่นฟันผุ จึงไม่อยากกินนม ซึ่งลูกสาวมีพฤติกรรมอย่างนี้มาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว
กระทั่งล่าสุด เมื่อวานนี้ตอนตนไปรับลูกสาวทั้ง 2 คนที่โรงเรียน ก็ได้สอบถามครูแพรวว่า ตีลูกสาวทั้ง 2 คนของตนหรือไม่ เพราะตนไม่สบายใจ แต่ครูแพรวก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ตีลูกสาว แต่ตนก็บอกกับครูแพรวไปตามตรงว่า ตนได้ประสานดูกล้องวงจรปิดแล้ว เหลือแค่รอเวลาที่จะได้เห็นคลิป หลังจากนั้นครูแพรวก็โทรศัพท์มาหาและบอกว่า "เชอร์ขอโทษ" และยอมรับว่า "เชอร์ตีน้องจริง ๆ ซึ่งเชอร์ไม่ได้ทำแรง แค่ตีน้องเบา ๆ" ตนก็ตอบกลับไปว่าภาพวงจรปิดจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกทุกอย่าง
ทีมข่าวได้พูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กเนอร์สเซอรี่อีกคน โดยน.ส.สุทานันท์ ช่วยหนู อายุ 45 ปี แม่ของน้องเมจิก อายุ 2 ขวบ 9 เดือน ซึ่งอยู่ในการดูแลของครูแพรวเช่นกัน ซึ่งวันนี้ได้เดินทางมาเพื่อขอดูภาพวงจรปิด
น.ส.สุทานันท์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเดือนก.ค.63 ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดใหม่ ๆ ตนก็เดินทางไปรับน้องเมจิกที่โรงเรียน ลูกสาวก็วิ่งมาด้วยอาการร้องไห้ และบอกกันตนว่าถูกครูแพรวตี ซึ่งด้วยความไม่สบายใจ ตนจึงส่งข้อความไปสอบถามทางครูแพรวว่าลูกสาวซุกซนอะไรหรือไม่ ทางครูแพรวก็บอกว่าลูกมีอาการซนเล็กน้อย ยอมรับว่าตีจริง เพราะน้องเมจิกผลักเพื่อน ซึ่งตนก็บอกกับครูว่าอย่าตีน้องเมจิก เพราะลูกยังเล็กและอายุไม่ถึง 3 ขวบ
แต่หลังจากนั้นน้องเมจิก ก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น มีอาการผวา ตกใจง่าย สะดุ้งตื่นกลางดึก ไม่อยากไปโรงเรียน และเมื่อขับรถพาไปส่งที่โรงเรียน ก็มีอาการร้องไห้ตั้งแต่เลี้ยวเข้าโรงเรียน กอดขาแม่บอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน
น.ส.ปริฏทฎา วิเศษฤทธิ์ อายุ 37 ปี แม่น้องธรรมคุณ เด็กชายวัย 10 ขวบ เปิดเผยว่า ตนมีลูก 3 คน โดยให้ลูกคนแรกและคนกลางเรียนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี โดยลูกคนแรกเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 กระทั่งตอนอยู่อนุบาล 2 ถูกครูตีทำโทษ แต่ไม่ยอมบอกแม่ แต่มีอาการซึม ล้า เหมือนคนหมดแรง เมื่อถามว่าเป็นอะไร จะมีแค่การแสดงกริยาท่าทางคล้ายถูกตี ทำท่ายกมือฟาด จึงมาพูดคุยกับครูให้จบเรื่อง ซึ่งครูยอมรับว่าตีจริง ทางโรงเรียนจึงดำเนินการย้ายครูออกไป จากนั้นตนจึงย้ายลูกคนแรกไปเรียนที่อื่น
ส่วนลูกคนกลาง คือ น้องธรรมคุณ ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ป.5 โดยคุณแม่น้องธรรมคุณ เล่าว่า ตอนลูกเรียนชั้น ป.4 ลูกชายเคยขัดแย้งทางความคิดเห็นตอนเรียนกับครูชาวต่างชาติ (ครูเดนโล่) น้องธรรมคุณโกรธ จึงออกไปยืนที่หน้าต่าง ก่อนจะถูกครูชาวต่างชาติพูดด่าหยาบคายและไล่ น้องธรรมคุณ ให้กระโดดอาคารเรียนจากชั้น 3 ไม่ห้าม ไม่พูดคุยด้วยเหตุผล แต่กลับยุยงในทางที่ไม่ถูกต้อง
กระทั่งเมื่อวันที่ 11 ก.ย.63 ที่ผ่านมา หลังเลิกเรียนมารับลูกที่โรงเรียน โดยน้องธรรมคุณ บอกว่า "ทำไมครูต้องรุนแรงกับฉันด้วย ทำไมต้องพูดให้ฉันไปตาย ทำไมต้องพูดแบบนั้น" วันถัดมาจึงมาถามครู จึงทราบว่าเป็น "ครูน้อยหน่า" ที่พูดบอกให้ลูกไปตาย ซึ่งปัจจุบันยังสอนที่โรงเรียนดังกล่าว ซึ่งครูน้อยหน่ามาขอโทษ บอกว่าหลุดปาก พูดโดยไม่คิดและอ้างว่าลูกเถียง จึงพูดแบบนั้นออกไป
ล่าสุดวันนี้ พ่อแม่น้องธรรมคุณ เดินทางเข้ามาแจ้งลาออกและขอใบ ปพ. จากทางโรงเรียน ซึ่งการดำเนินการเรื่องลาออกนั้น ใช้เวลาตัดสินใจเพียง 1 วัน และขณะนี้น้องธรรมคุณเริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่แล้ว ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ความรู้สึกความเป็นแม่ ไม่อยากให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ หรือต้องมาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสนามรบ ที่ต้องจดจำเรื่องรุนแรงแบบนี้
สำหรับค่าเล่าเรียนชั้นอนุบาล 1-3 ค่าเทอมภาคเรียนละ 11,750 บาท ส่วนค่าอาหาร 3,000 บาท และค่าบำรุงสระว่ายน้ำ 500 บาท รวมค่าใช้จ่ายเทอมละ 15,250 บาท
ขณะที่ค่าเล่าเรียนชั้นประถมศึกษา ค่าเทอมภาคเรียนละ 12,170 บาท ค่าอาหาร 3,000 บาท ค่าบำรุงสระว่ายน้ำ 500 บาท ค่าเรียนดนตรี 500 บาท ค่าเรียนคอมฯ 1,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายเทอมละ 17,170 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจได้เอาผิดกับครูมาวิน ครูชาวต่างชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในข้อหาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเสียค่าปรับเป็นเงิน 5,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ต่างด้าว
นอกจากนี้เมื่อสรุป ครูอนุบาลที่ทำร้ายเด็กทั้งหมด มีจำนวน 12 คน ได้แก่ ครูจุ๋ม ครูนิ ครูเปิ้ล ครูมาวิน ครูเจี๊ยบ ครูบลู ครูคาบู ครูเดนโล่ ครูน้อยหน่า ครูอิ้ว ครูแพร และครูแพรว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีครูอนุบาลทำร้ายนักเรียนที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า เรื่องดังกล่าวว่าเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ตนมองว่าจะมาเป็นรอบ ๆ เรื่อง ๆ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือ ครู อาจารย์ ควรจะระมัดระวังในการลงโทษเด็ก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำด้วยความรุนแรงได้ ให้ทำงานในกรอบงานของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายอัศวิน พุฒขาว อายุ 48 ปี พ่อน้องคีโน่ เปิดเผยว่า จากการดูคลิปกล้องวงจรปิด เหตุการณ์ขณะที่น้องคีโน่ กำลังนั่งเล่นบนโต๊ะเรียนและพยายามยื่นมือไปเล่นกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามที่นั่ง จังหวะนั้นครูจุ๋มมองเห็น ลักษณะของน้องที่เห็นครูจุ๋มเดินมาเหมือนรู้ว่าจะถูกลงโทษ จึงรีบนั่งลงเก้าอี้ของตัวเอง จังหวะนั้นครูจุ๋มเดินเข้ามาอุ้มตัวน้องคีโน่ยกขึ้น แล้วโยนไปกระแทกที่โต๊ะ 2 ครั้งอย่างแรง
นายอัศวิน พ่อน้องคีโน่ เล่าต่อว่า น้องสภาวะจิตใจบอบบางเพราะเป็นเด็ก แต่กลับถูกครูนิ (ครูสอนศิลปะ) ใช้หนังสือฟาดหัว จนทำให้เกิดอาการหวาดกลัว อีกทั้งทราบมาว่าลูกมีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำ เพราะครูจุ๋มมีพฤติกรรมไม่ให้เด็กเข้าห้องน้ำอุจจาระ ปัสสาวะบ่อย ซึ่งช่วงก่อนไปส่งโรงเรียนในตอนเช้าของแต่ละวัน ทำให้น้องคีโน่ มีพฤติกรรมที่จะต้องรีบขอเข้าห้องน้ำก่อนถึงโรงเรียนทุกวัน
โดยภายหลังจากการเข้ารับฟังชี้แจงกับทางโรงเรียนวันนี้ มองว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีข้อเสนอจะคืนเงินค่าเทอมล่าสุดให้ ซึ่งเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท ตนตั้งคำถามกลับ ความรู้สึกและสภาพจิตใจของเด็กมีค่าแค่ 20,000 บาทเท่านั้นหรืออย่างไร