กรณีอมรินทร์ ทีวี ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการรักษาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เนื่องจากพยาบาลใช้วาจาไม่สุภาพกับเด็กชายบี (นามสมมติ) อายุ 8 ปี อีกทั้งการรักษายังไม่ประสบผลสำเร็จ กระทั่งเด็กเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออก แต่ทางครอบครัวติดใจสาเหตุการตาย เนื่องจากเด็กชายบี แข็งแรงมาตลอดและไม่มีไข้ใด ๆ ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นไข้เลือดออกอีกด้วย
ล่าสุดวันที่ 1 ต.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางมายังวัดหนองปรือ ตำบลบึง อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี สถานที่ตั้งร่างเพื่อบำเพ็ญกุศลของเด็กชายบี (นามสมมติ) เพื่อพูดคุยกับ นางเอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี อาชีพค้าขาย แม่ของเด็กชายบี
นาเอ เล่าว่า ตนได้ไปขายของต่างจังหวัด ทำให้ตายายต้องคอยดูแลเด็กชายบี โดยลูกชายได้ไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนในวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 63 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีอาการเจ็บคอและอาเจียน คุณครูจึงให้ผู้ปกครองรับตัวกลับบ้านมาพักผ่อน ซึ่งลูกชายก็ได้กินข้าวต้ม แล้วเข้านอนทั้งวัน ไม่มีไข้ใด ๆ
ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 63 แม่ของตนได้พาลูกชายไปพบแพทย์ที่คลินิก ผลตรวจแจ้งว่า ลูกชายตนป่วยต่อมทอนซิลอักเสบ ไม่มีไข้ โดยแพทย์ได้ให้ยาน้ำมา 2 ตัว ได้แก่ ยาแก้ไข้และยาแก้อักเสบ ซึ่งหลังจากกินยาแก้อักเสบไปแล้ว ลูกชายตนมีอาการผื่นคัน คาดว่าแพ้ยาแอสไพรินในยาแก้อักเสบ เพราะเคยแพ้มาก่อน จึงให้หยุดกินยาแก้อักเสบ
จากนั้นในวันจันทร์ที่ 28 กันยายน 63 คุณยายก็ได้พาลูกชายตนไปที่คลินิกอีกแห่งหนึ่ง แพทย์ระบุว่าไม่มีไข้ และได้สั่งให้หยุดกินยาแก้อักเสบเดิม เนื่องจากแพ้ยา แล้วให้ยาแก้แพ้และยาแก้ท้องอืดมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลูกชายตนได้กินนมแต่ก็อาเจียนออกมา มีอาการคันตามร่างกาย คุณตาคุณยายจึงได้พาเด็กไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในเวลาประมาณ 13.00 น. เนื่องจากไม่ต้องการรอเวลาพบแพทย์ตามปกติ ซึ่งผลการตรวจเลือด คุณยายได้นำยาให้พยาบาลดู แต่พยาบาลไม่สนใจ พูดกลับมาว่า “เด็กเป็นโรคประจำตัว” โดยจากนั้นแพทย์และพยาบาลแจ้งว่า ลูกชายตนไม่ได้ท้องอืดและแพ้ยา แต่เป็นไข้เลือดออก
ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาในห้องฉุกเฉิน เด็กร้องว่าอยากกลับบ้าน หิวข้าว และปวดปัสสาวะ พยาบาลก็ได้ตีแขนลูกชายตน พูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง “ทำไมดื้ออย่างนี้ แม่เลี้ยงเป็นเทวดาเหรอ” จากนั้นตนได้เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาประมาณ 15.30 น. ลูกชายร้องลั่นโรงพยาบาลแล้วก็เงียบเสียงไป ตนได้เปิดประตูเข้าไปภายในห้องฉุกเฉิน แต่กลับพบว่าทั้งแพทย์และพยาบาล กำลังปั๊มหัวใจลูกชายตนอยู่
ตนพยายามสอบถาม ก็โดนไล่ให้ออกจากห้องฉุกเฉิน "ญาติมายุ่งอะไร ญาติออกไป ๆ" ตนจึงพูดโต้ตอบพยาบาลกลับไปว่า "ลูกเป็นแบบนี้จะให้อยู่เฉยได้ยังไง หนูจะดูลูกหนู ลูกหนูแค่ 8 ขวบ แต่ตัวโตเหมือนเด็กโต ลูกหนูยังเล็ก" ซึ่งทางพยาบาลก็ยังยืนยันว่าให้ญาติออกไป แล้วก็ปั๊มหัวใจลูกของตนต่อ ทีมแพทย์ได้ปั๊มหัวใจลูกชายตนประมาณ 1 ชั่วโมง คาดว่าตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 - 17.00 น. เมื่อชีพจรเริ่มกลับมาแพทย์จึงได้นำส่งตัวลูกชายตนไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชลบุรี ในเวลาประมาณ 18.00 น.
แต่ขณะส่งตัวไป ลูกชายตนก็มีอาการหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง ทางรถโรงพยาบาลจึงได้ช่วยกันปั๊มหัวใจ และแวะรถที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อให้ทำการช่วยเหลือ โดยแพทย์บอกกับตนว่าจะช่วยให้เต็มที่ แต่ลูกชายตนก็ไม่ดีขึ้น โดยทางทีมแพทย์โรงพยาบาลสมิตติเวชศรีราชา ใช้เวลาปั๊มหัวใจลูกชายของตนตั้งแต่ประมาณ 20.00 - 20.30 น. และให้เลือดอีก 2 ถุง ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตลูกของตนไว้ได้ แจ้งเสียชีวิตในเวลา 20.30 น. ของวันที่ 28 กันยายน 63 ซึ่งตนเข้าใจว่าแพทย์โรงพยาบาลสมิตติเวชศรีราชา ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว
ขณะนี้ทางครอบครัวเสียใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตนติดใจกับการรักษาของโรงพยาบาลแห่งแรก เนื่องจาก
1.พยาบาลห้องฉุกเฉินพูดจาไม่ดี
2.ทีมแพทย์ไม่มีการอธิบายขั้นตอนการรักษา
3.ลูกชายตนป่วยเป็นไข้เลือดออกจริงหรือไม่ เนื่องจากลูกชายตนไม่มีไข้ตลอด 3 วันที่ผ่านมา
4.ทำไมต้องรัดลูกชายตนกับเตียงและสวนสายปัสสาวะ
5.หากโรงพยาบาลไม่ผิด ทำไมถึงโยนให้ตนไปรับมรณะที่โรงพยาบาลสมิตติเวชศรีราชา ทั้ง ๆ ที่โรงพยาบาลแห่งแรกต้องเป็นผู้ออกใบให้ อีกทั้งยังจ่ายค่ารักษาแทนตนให้กับโรงพยาบาลสมิตติเวชศรีราชา ประมาณ 20,000 กว่าบาท (ค่าย้ายผู้ป่วย ค่ายา ค่ารักษา)
ตนอยากเตือนผู้ปกครองทุกคนให้เลือกโรงพยาบาลให้ดี หาแพทย์และพยาบาลที่พูดจาดีมีจรรยาบรรณในการรักษาคนที่รัก เพราะที่ตนเจอมา สิ่งที่ตนประสบคาดว่าทางโรงพยาบาลน่าจะเห็นว่าตนไม่มีเงินค่ารักษา จึงทำกิริยาแบบนี้กับตน พูดจากับตนเหมือนตนไม่ใช่คน ซึ่งแท้จริงค่ารักษาเท่าไร ตนก็ยอมจ่ายเพื่อยื้อชีวิตลูก
ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่ตนไปเอาใบมรณะบัตรที่โรงพยาบาลแห่งแรก ตนก็ไม่ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลอีก ตนไม่ต้องการได้อะไรชดเชย แต่ตนต้องการจะรู้ความจริงว่าลูกตนเป็นไข้เลือดออกจริงไหมและทำไมทีมแพทย์ถึงพูดจาไม่ดีไม่มีจรรยาบรรณกับตน “หากเป็นลูกคุณ คุณจะทำแบบนี้ไหม”
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวที่โรงพยาบาลแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายแพทย์ราเมศร์ อำไพพิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมฉบัง เปิดเผยว่า ก่อนอื่นเลยต้องขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัวด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอชี้แจงขอเท็จจริงก่อนว่า ตอนที่ครอบครัวพาน้องมารักษาที่โรงพยาบาล น้องอยู่ในอาการหนักแล้ว เนื่องจากมีอาการป่วยมาหลายวัน ซึ่งทางทีมแพทย์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการนำตัวน้องเข้าห้องฉุกเฉินโดยทันที
จากการตรวจเลือดพบว่าน้องมีเกล็ดเลือดต่ำมาก ทีมแพทย์ก็วินิฉัยว่าน้องป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกและอยู่ในอาการขั้นวิกฤต ทางโรงพยาบาลเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้อาจจะเสียชีวิต จึงได้สั่งเคลื่อนย้ายน้องไปรักษาอาการต่อที่โรงพยาบาลชลบุรี เนื่องจากที่โรงพยาบาลแหลมฉบังไม่มีห้องไอซียูที่สามารถรองรับได้ และในระหว่างที่กำลังนำส่งน้องได้เกิดอาการช็อกหมดสติ อีกทั้งยังมีอาการหัวใจหยุดเต้น จึงได้เลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตได้
ในส่วนที่ทางญาติ ระบุว่า ทีมแพทย์มีการเจาะเลือดหลายครั้งและพูดจาไม่สุภาพนั้น ทางโรงพยาบาลขอชี้แจงว่าอาจเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนไป ประกอบกับการช่วยเหลือน้องในขณะนั้นก็อยู่ในขั้นวิกฤต จึงจำเป็นต้องเชิญญาติออกด้านนอก และในส่วนของการเจาะเลือดหลายเข็มนั้น เนื่องจากผู้ป่วยมีลักษณะอ้วน ทำให้หาเส้นเลือดเป็นไปด้วยความยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาล ขอฝากกรณีแบบนี้ไว้เตือนประชาชนว่า โรคไข้เลือดออก แท้จริงแล้วน่ากลัวกว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 เสียอีก เพราะโรคไข้เลือดออกอยู่คู่กับคนไทยมานาน แต่คนไทยมักละเลยกับการป้องกันยุงลายกัน ทั้ง ๆ ที่การเสียชีวิตของผู้ป่วยมีให้เห็นเป็นจำนวนมาก