จากกรณีที่คนขับรถกระบะโตโยต้า ไฮลักค์ วีโก้ สีบรอนซ์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน พุ่งเข้าชนร้านเหล็ก เป็นเหตุให้พนักงานร้านดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ 1 ราย โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 เวลาประมาณ 16.00 น.
วันนี้ (23 ก.พ.) ทีมข่าวอมรินทร์ได้เดินทางไปยังร้าน ส.เจริญสติล ซึ่งเป็นร้านที่เกิดเหตุ โดยบริเวณร้านดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์ขนาด 8 คูหา ติดกับถนนใหญ่ โดยมีการแบ่งเป็นห้องทำงาน 2 คูหา อีก 6 คูหา เป็นห้องเก็บเหล็กขนาดต่างๆ ซึ่งบริเวณหน้าร้านดังกล่าวกว้างประมาณ 32 เมตร
โดยช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้น มีกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าร้าน จำนวน 2 ตัว ที่สามารถบันทึกภาพไว้ได้ ขณะนั้นผู้บาดเจ็บนั่งอยู่บนแผ่นเหล็ก บริเวณด้านหน้าร้านก่อนจะมีรถกระบะ พุ่งข้ามาชนเครื่องตัดเหล็กไฟเบอร์ ก่อนที่จะกระเด็นทับร่างผู้บาดเจ็บ จากนั้นพุ่งห่างออกไปจากจุดที่ผู้บาดเจ็บนั่งอยู่ด้านหน้าประมาณ 200 เมตร
นางพัชรา ขจรเวชกุล อายุ 37 ปี เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้โพสต์คลิปดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนไม่เห็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุ แต่ได้ยินเสียงคล้ายระเบิดหลายครั้งจึงออกมาดู พบว่ามีพนักงานของร้านนอนเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีเครื่องตัดเหล็กทับร่างอยู่ ตนจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ และได้สอบถามอาการว่า ยังไหวหรือไม่ซึ่งคนเจ็บ เพียงพยักหน้าตอบ และชี้ไปที่ขาทั้ง 2 ข้าง ตอนนั้นตนคิดว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุทั่วไป
จนกระทั่งทราบว่า มีรถกระบะเสียหลักขับพุ่งเข้ามาชนที่ร้าน ตนจึงเดินตามหารถกระบะคันที่พุ่งเข้ามาชน ปรากฎว่า รถกระบะคันดังกล่าวจอดนิ่ง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร
ซึ่งในรถกระบะพบร่างชาย ในสภาพหมดสติเป็นคนขับ ส่วนข้างคนขับเป็นหญิงร่างท้วม ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นตนรีบวิ่งกลับมาดูพนักงานที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะไปดูกล้องวงจรปิดของร้าน ปรากฎว่า พบเห็นรถกระบะคันดังกล่าวขับพุ่งเข้ามาอย่างแรง
นางพัชรา ได้พาทีมข่าวไปดูจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้บาดเจ็บถูกเครื่องตัดเหล็กทับร่าง ใกล้กันพบรอยของยางรถยนต์เป็นทางยาวประมาณ 10 เมตร ทั้งนี้ พบว่าร้านค้าที่ติดกันประมาณ 2-3 ร้าน ก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน เช่น ตะแกรงหน้าร้าน อุปกรณ์ทำรถจักรยานยนต์ กระถางต้นไม้ และประตูม้วน บริเวณหน้าร้าน แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ด้าน
นายดนุช โพธิ์เงิน อายุ 41 ปี พนักงานภายในร้าน ซึ่งเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ในวันเกิดเหตุตนอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 8 เมตร ขณะนั้นสังเกตเห็นว่า มีรถกระบะขึ้นมาบนฟุตปาธ ก่อนจะมีเสียงดังตูม ในตอนแรกตนก็ไม่คิดว่าจะมีใครบาดเจ็บ จนกระทั่ง เห็นว่าเครื่องตัดเหล็กทับร่างเพื่อนร่วมงาน จึงสั่งทุกคนห้ามเคลื่อนย้าย หรือทำอะไรกับผู้บาดเจ็บ เพราะเกรงว่าถ้าทำผิดวิธี ผู้บาดเจ็บจะมีอาการแย่ไปมากกว่านี้
ระหว่างนั้นตนวิ่งไปดูคนขับรถกระบะ ซึ่งติดอยู่ภายในรถ ตนจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะแจ้งหน่วยกู้ชีพให้นำเครื่องตัดถ่างมาให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาอ้างว่าก้มลงไปทานไอศครีมนั้น ตนไม่ทันได้สังเกตว่ามีไม้ไอศครีม หรือถุงไอศกรีม ตกอยู่ในรถคันที่เกิดเหตุหรือไม่
แต่มีคนที่เห็นเหตุการณ์ ยืนยันว่าได้ยินคนขับรถพูดว่า "ก้มกินไอศกรีม พอเงยหน้ามาก็มีอาการวูบ ซึ่งคนขับรถพยายามหาเบรกแล้วแต่ไม่เจอ พยายามเหยีบย้ำแล้วย้ำอีกก็ไม่เจอ "ซึ่งตนเชื่อว่า น่าจะเหยียบผิดโดยไปเหยียบถูกคันเร่งทำให้รถพุ่งไปชนก๊อกน้ำ เป็นเหตุให้ยางระเบิด ก่อนจะพุ่งผ่านช่องเล็กๆระหว่างหน้าร้าน และเสาไฟฟ้า ซึ่งห่างกันประมาณ 2 เมตร ในตอนแรกตนคิดว่าผู้ก่อเหตุอาจจะมีโรคส่วนตัว เพราะปกติแล้วคนที่เป็นความดันอาจจะวูบได้ ซึ่งตามหลักแล้วเมื่อรถเสียหลักก็ต้องเหยียบเบรกไม่ใช่ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนี้
ด้าน
นายสมยงค์ สุดที อายุ 47
ผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งก้มหน้าอยู่นั้น ก็วูบก่อนที่จะหงายท้อง โดยมีเพื่อนร่วมงานมาประคอง ขณะเกิดเหตุตนยังมีสติรับรู้ทุกอย่าง ระหว่างที่รอหน่วยกูชีพ คู่กรณีได้เดินเข้ามาหาและยกมือไหว้ขอโทษและบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตนตอบไปว่า "ไม่เป็นไร มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น" หลังจากนั้นคู่กรณีก็เอาบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อให้กับภรรยาของตน ล่าสุดคู่กรณีได้ติดต่อมา 1 ครั้ง และบอกว่าวันนี้จะเข้ามาเยี่ยม แต่จนถึงตอนนี่ก็ยังไม่ได้เจอ ส่วนอาการบาดเจ็บตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว และคาดว่าอีกไม่กี่วันแพทย์คงให้ออกจากโรงพยาบาล
นางสำลวน พลใบ อายุ 40 ปี ภรรยาของคนเจ็บ เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุตนอยู่ในสำนักงาน ได้ยินเสียงดังมากคล้าย เหล็กหล่นทับอะไรสักอย่าง เลยออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่พอตนเข้ามาดูปรากฎว่าเป็นสามี จึงเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งสามีตนตอบว่าเครื่องตัดเหล็กกระเด็นมาทับ และ
นายสมยงค์ ได้ถามตนว่า "ขาพี่ขาดไหม" ซึ่งตนก็ตอบว่าไม่ขาด แค่ถลอกแต่ไม่กล้าขยับ เพราะสามีบอกว่าเจ็บมาก และมีอาการตกใจ ตนจึงหยิบยาดมให้สามี ก่อนที่รถกู้ชีพจะนำตัวนายสมยงค์ส่งโรงพยาบาล เบื้องต้นแพทย์บอกว่ากระดูกขาซ้ายหัก และขาอ่อนหลังด้านขวาเนื้อหลุด ซึ่งแพทย์ได้ทำการเย็บปิดบาดแผล 12 เข็ม
ส่วนเรื่องทานไอศกรีมนั้น ตนไม่ได้เห็นว่าทานหรือไม่ แต่ได้ยินชัดเจนว่า "ก้มลงไปตักไอศกรีมและวูบไปเพราะง่วง ตอนแรกตั้งใจจะเหยียบเบรค เพื่อหักพวงมาลัย แต่เท้าไปโดนคันเร่ง" โดยคู่กรณีบอกว่ามีสติตอนที่สามีวูบไปแล้ว ก่อนจะพูดทิ้งท้ายว่า จะดูแลให้ และขอโทษทุกคน
ล่าสุดคู่กรณีติดต่อมา เพื่อที่จะให้ไปตกลงกันที่โรงพัก แต่ตนขอเลื่อนออกไปก่อน เพราะต้องดูแลรักษาสามี แล้วค่อยคุยกันทีหลังก่อนที่คู่กรณีจะบอกว่า "จะเข้ามาเยี่ยม ส่วนค่ารักษาพยาบาลไม่ต่องเป็นห่วง โดยจะให้ พ.ร.บ.จ่าย" ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังไม่มีการพูดคุยกัน
ทั้งนี้ นางสำลวน กล่าวทั้งน้ำตาว่า รู้สึกสะเทือนใจ เพราะสามีเป็นเสาหลักของบ้าน ที่คอยหาเงินเข้ามาดูแลครอบครัว และตอนนี้ตนต้องลางาน เพื่อมาดูแลสามี เพราะตนไม่มีญาติที่ไหน อาจจะมีบ้างที่ติดต่อมาสอบถาม แต่ก็ไม่มีใครติดต่อเข้ามาช่วยเหลือ เพราะว่าต่างคนต่างก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ก็อยากจะฝากบอกคนที่ทำอะไรโดยประมาทเช่นนี้ ทำให้ชีวิตของคนอื่นต้องเดือดร้อน ก็อยากจะขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะเหตุผลแค่ว่าก้มกินไอศกรีมแล้ววูบ มันแย่มากสำหรับผู้ที่สูญเสีย ครั้งนี้อาจจะยังไม่สูญเสียใครไปแต่เสียงานและเสียเวลา
นายวสันต์ ประสาททอง อายุ 39 ปี คนขับรถกระบะคู่กรณี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านโทรศัพท์ว่า ในวันเกิดเหตุตนขับรถมาตามปกติ ระหว่างทางตนได้จอดรถเพื่อก้มทานไอศครีม โดยได้ตักเข้าปากไป 1 คำ ก่อนจะออกรถอีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลานั้นวูบหมดสติไป ตนยืนยันว่าไม่เคยทานไอศกรีมแล้ววูบหลับมาก่อน ตนมาได้สติอีกทีตอนที่รถพุ่งชนเครื่องตัดเหล็ก ซึ่งตอนนั้นเห็นคนกระโดดหลบ
หลังเกิดเหตุตนได้ไปดูแลคนเจ็บ พร้อมกับมอบเงินสินน้ำใจให้ 2 ครั้ง คือมอบให้ในวันเกิดเหตุ 1,400 บาท และวันนี้ (23 ก.พ.) 2,000 บาท โดยตนได้บอกกับผู้เสียหายว่าให้มาค่อยคุยกัน ซึ่งฝั่งภรรยาคนเจ็บก็บอกว่ารอให้สามีอาการดีขึ้นก่อนจึงค่อยตกลงกัน ส่วนผู้เสียหายจะให้ข่าวอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ และตนไม่อยากจะออกมาให้ข่าว เพราะเหมือนออกมาแก้ตัว "ว่ากินไอศกรีมหลับ" ซึ่งหลายๆ คน บอกว่าชนเสาไฟฟ้า แต่ความจริงแล้วชนฟุตบาท และขอยืนยันว่า ตอนที่รถชนเครื่องตัดเหล็กตนได้พยายามเหยียบเบรคแล้ว แต่หาเบรคไม่เจอ เลยหมุนพวงมาลัยก่อนที่รถจะพุ่งไปด้านหน้า
ตนคิดว่าสาเหตุที่วูบเกิดจากการอดนอน และยินดีจะรับผิดชอบค่าเสียหาย และผู้บาดเจ็บทั้งหมด ต่อให้ไม่มีใครเป็นอะไร ตนก็พร้อมจะรับผิดชอบ และขอฝากไปถึงผู้บาดเจ็บว่า ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ตนเป็นต้นเหตุก็ยินดีที่จะรับผิดชอบเองทุกอย่าง
ด้าน พ.ต.ท.สมชาย พัฒพันธุ์ รองผู้กำกับสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางน้ำจืด ให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ว่าได้พูดคุยกับคู่กรณีแล้ว ล่าสุดผู้ก่อเหตุได้ไปพูดคุยกับร้านที่เกิดเหตุแล้วว่า ยินดีจะรับผิดชอบทั้งหมด เชื่อว่าหลังจากนี้ เมื่อผู้บาดเจ็บออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกันที่โรงพัก หากสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ก็จะได้ทำการเปรียบเทียบปรับคนขับรถกระบะ ฐานขับรถประมาท 1,000 บาท