วันที่ 6 ต.ค. 63 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมผู้ปกครองเด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ม.1 อายุ 12 ปี โรงเรียนชื่อดังย่านสุวินทวงศ์ เข้าแจ้งความที่ สน.สุวินทวงศ์ หลังถูกรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อายุ 17 ปี ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลห้องประชุม ข่มขืนภายในห้องควบคุมเครื่องเสียง อีกทั้งมีการข่มขู่ห้ามบอกใคร
เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 63 ถึงปัจจุบันรวม 14 ครั้ง ทำให้นักเรียนหญิงเครียดจนถึงขั้นจะผูกคอเสียชีวิตมาแล้ว แต่แม่สามารถช่วยเหลือไว้ได้ทัน
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับการร้องเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่ามีเด็กหญิง ม.1 อายุ 12 ปี ถูกชายรุ่นพี่ ม.5 อายุ 17 ปี ล่วงละเมิดทางเพศภายในห้องควบคุมเสียง ในหอประชุมโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสุวินทวงศ์ ซึ่งตนได้ประสานไปทางตำรวจ สน.สุวินทวงศ์ ได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหาย รวมถึงลงพื้นที่โรงเรียนเพื่อนเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่เขตการศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูประจำชั้น มาร่วมดูแลการตรวจเก็บหลักฐาน
ทางผู้ปกครองเห็นความผิดปกติของเด็กหญิงที่มีอาการซึมเศร้า ไม่พูดจา ไม่อยากไปโรงเรียนและขอเงินมากขึ้น จึงได้ไปบอกกับครูประจำชั้นให้ช่วยดูแลเรื่องพฤติกรรมของลูก สุดท้ายครูประจำชั้นก็แจ้งกลับมาว่าลูกสาวถูกข่มขืน อย่างไรก็ตาม เด็กผู้ชายที่ก่อเหตุนั้นยอมรับสารภาพว่ากระทำชำเราเด็กหญิงวัย 12 ปีจริง
นางแย้ม (นามสมมติ) แม่เด็กผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตนเห็นพฤติกรรมน้องอ้อย (นามสมมติ) ลูกสาว เริ่มเปลี่ยนไป มีอาการซึมเศร้า ใช้เงินเยอะผิดปกติ กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ก.ย. น้องอ้อยได้เข้าไปผูกคอตายในห้องน้ำ โดยใช้เชือกเนตรนารี ผูกกับราวตากผ้าริมกำแพง ใช้เชือกแขวนคอและนั่งลงกับพื้นเพื่อให้เชือกรัดคอตาย ซึ่งในวันเกิดเหตุตนก็เห็นว่าลูกเข้าห้องน้ำนานผิดสังเกต เรียกก็ไม่เปิด จึงได้เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปเนื่องจากห้องน้ำไม่มีกลอน พบว่าน้องอ้อยแขวนคอและนั่งหมดสติแล้ว ซึ่งตอนนั้นตนพยายามช่วยเหลือและแจ้งเจ้าหน้าที่ เคราะห์ดีที่สามารถช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันและลูกสาวยังไม่เสียชีวิต
นางแย้ม กล่าวต่อว่า ตนก็รู้ความจริงว่าสาเหตุที่ลูกสาวขอเงินเยอะเพราะว่าถูกรีดไถ โดยทางฝั่งผู้ก่อเหตุมักจะข่มขู่โดยการขอเงินครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งที่ 2 เงิน 500 บาท ซึ่งทุกครั้งที่มีการรีดไถเงิน ทางผู้ก่อเหตุก็จะสั่งว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใคร พร้อมกับชี้ไปที่โทรศัพท์ ซึ่งอาจจะสื่อความหมายว่าจะเอาลูกสาวไปประจาน ซึ่งลูกสาวก็หวาดระแวง กลัวอายเพื่อน จึงไม่กล้าบอกใครมาก่อน ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าทางผู้ก่อเหตุถ่ายคลิปลูกสาวหรือไม่
นางแย้ม ยอมรับว่าลูกสาวจิตใจย่ำแย่จนไม่คิดจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ส่วนตนก็จิตใจสลายไปพร้อมกับลูกสาว เพราะตนต้องคอยระแวงว่าลูกจะฆ่าตัวตายอีกหรือไม่ ซึ่งตนก็รู้สึกกลัวและต้องคอยดูลูกตลอดเวลา ตอนนี้ตนได้พาลูกมาตรวจร่างกาย และเตรียมไปสอบสวนกับอัยการในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ตาม ลูกสาวตนคงกลับไปเรียนไม่ได้อีกเพราะสภาพจิตใจย่ำแย่มาก ซึ่งตอนนี้ก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียน และตอนนี้ก็หยุดเรียนไปก่อน เพื่อรอสอบกลางเทอมและย้ายโรงเรียน