การเดินทางของดราม่าหลังม่านมงฯ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์2019 ใกล้ถึงตอนอวสาน จากกรณีที่แฟนคลับนางงามออกมาทวงมงกุฎให้ "ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น" Miss Universe Thailand 2019 จนกองประกวดโร่ชี้แจง "ไม่เซ็นสัญญา ไม่ได้มงกุฎ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ผจก. "ฟ้าใส" ออกโรงโพสต์หาร้านทำมงกุฎใหม่ โซเชียลฟาดกองทำลายศักดิ์ศรีท็อป 5 จักรวาล
- “เอส อนุสิทธิ์” ลั่นทวงคืนความยุติธรรมให้ "ฟ้าใส" พร้อมทุบอีก 2 วัน เหตุผลที่ไม่เซ็นสัญญา!!
- ความจริงมีสองด้าน! "ผจก. ฟ้าใส" VS "ปุ้ย TPN" ตอบดราม่ามงกุฎยืมสวม!!
- “ฟ้าใส” แจงดราม่า ไม่เซ็นสัญญา!! กับกอง TPN เหตุสัญญามีการเปลี่ยนแปลง!!
ล่าสุด ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้บริหาร บริษัท TPN 2018 จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวด Miss Universe Thailand ก็ได้ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชน โดยไทม์ไลน์จุดเริ่มต้นความร้าวฉานครั้งนี้คือ
6 มิ.ย.62 :
ผู้เข้าประกวดทุกคนเข้าทำข้อตกลงในการเข้าประกวด MUT 2019 โดยทุกคนที่ผ่านเข้ารอบ 60 คนจะต้องเซ็นข้อตกลงนี้ (ข้อตกลงดังกล่าวมิใช่สัญญา เป็นเพียงเงื่อนไขข้อบังคับที่จะต้องปฏิบัติในการเข้าประกวด และเมื่อประกวดได้ผู้ชนะ 5 คนแล้วจึงจะมีการเซ็นสัญญาอีกครั้งหนึ่ง)
17 กค.62 :
รองหนึ่งถึงรองสี่ เข้าเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยยกเว้นฟ้าใส เนื่องจากเวลาดังกล่าวฟ้าใสยุ่งตลอดเพราะเป็นช่วงที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง
และที่ผ่านมา(จำวันที่ไม่ได้) ได้เคยแจ้งน้องให้เข้ามาดูเรื่องสัญญาหลายครั้ง เช่นครั้งหนึ่งที่น้องไปเรียนเรื่องการพูดที่จุฬา พี่บี (ผู้จัดการน้องในขณะนั้น) ได้ทำการนัดหมายให้มาดูเรื่องสัญญาที่บริษัท เพราะอยู่ติดกับจุฬาอยู่แล้ว พวกเรานั่งรอน้องจนเย็นมาก ในที่สุดก็ไม่ได้เข้ามา เพราะน้องบอกว่าเหนื่อยขอกลับบ้านไปเลย
และอีกครั้งก่อนไปแอตแลนต้า พี่บีก็ได้นำเอกสารไปให้น้องอ่านอีกครั้ง น้องก็บอกว่าเดี๋ยวจะอ่าน เพราะสัญญาจริง ๆ แล้วมีไม่กี่แผ่น และไม่ได้มีความซับซ้อน จนถึงวันจะเดินทางฟ้าใสก็ยังไม่ได้เซ็น เพราะอ้างว่าต้องการโฟกัสกับเรื่องการเตรียมตัวนี้ และเดี๋ยวเดินทางไปแอตแลนต้า น้องบอกเองว่าเรามีเวลาหลายวันค่อยอ่านทบทวน อีกทั้งเราเดินทางไปแอตแลนต้าก่อนล่วงหน้าประมาณเกือบสองอาทิตย์ จะใช้เวลาช่วงนี้อ่านและเซ็นสัญญา
8-15 พ.ย.62 :
ช่วงถ่ายprotait และทำ Lookbook ทางทีมงานคือ Director ของกองบอกว่า พี่บียังคอยตามฟ้าใสเรื่องสัญญาตลอด ได้คุยอัพเดทกับไดเรคเตอร์ว่าน้องยังไม่ยอมเซ็นเลยเพราะน้องบอกว่าไม่ว่างอ่าน ถามทีไรน้องก็บอกน้องอยากจะโฟกัสในการเตรียมตัวไม่ว่างดูสัญญา
22 พ.ย.62 :
เราออกเดินทางไปแอตแลนต้า และในวันนั้นฟ้าใสเดินทางมาสนามบินสาย ซึ่งช่างแต่งหน้าทำผมในวันนั้นรวมถึงพี่บีน่าจะพูดเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ซึ่งรายละเอียดตรงนี้เราไม่อยากพูดถึง
ในระหว่างที่อยู่แอตแลนต้า เราได้ทวงถามสัญญาจากฟ้าใสตลอด น้องบอกว่าไม่ได้นำติดตัวมา
28 พ.ย.62 :
คุณแม่ฟ้าใสเดินทางมาถึง แอตแลนต้า ขอนอนกับฟ้าใส
⁃ ในช่วงระยะเวลาระหว่างนั้นเราก็ได้คุยกับแม่ของน้องเรื่องสัญญาที่ยังไม่ได้เซ็นเลย ทั้งที่ใกล้กันประกวดMUมาแล้ว แม่บอกว่าเรื่องของสัญญาเดี๋ยวดูให้น้องเองเพราะน้องอาจจะไม่เข้าใจภาษาไทยที่เป็นภาษากฎหมายดีนัก เพราะเติบโตที่ต่างประเทศ เราก็เข้าใจในเหตุผลนี้ คุณแม่ยังบอกกับเราว่า ไม่ต้องห่วง น้องเซ็นแน่นอนไม่บิดพลิ้วเพราะที่บ้านยึดถือเรื่องคุณธรรมเป็นหลัก
⁃ หลังจากนั้นจำวันที่ไม่ได้ เราก็ได้ปริ้นเอกสารสัญญามาให้คุณแม่หนึ่งชุด และคุณแม่ทำการเขียนขอแก้สัญญาที่เป็นลายมือของคุณแม่เอง ซึ่งทางกองก็ยินยอมเปลี่ยนให้หมดตามที่คุณแม่ขอแก้ไข
⁃ และเราก็ทำการปริ้นสัญญาที่แก้ไขตามที่คุณแม่ต้องการทุกประการ นำใส่ซองแล้วมามอบให้คุณแม่ซึ่งคุณแม่บอกว่าจะนำไปให้น้องเซ็นเอง
5-6 ธ.ค.62 :
จนอีกสองวันจะถึงวันพรีลิมแล้ว น้องก็ยังไม่ยอมเซ็นสัญญา พอทวงถามไปที่คุณแม่ คุณแม่บอกว่าน้องอายุ 26 แล้วแม่ไม่สามารถบังคับน้องได้ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นไรเรากลับไปเซ็นกันที่กรุงเทพก็ได้ ตอนนี้ขอให้น้องมุ่งมั่นเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เราก็ไม่ว่ากันเพราะโดยส่วนตัวคิดว่าสัญญามันไม่ใช่สิ่งสำคัญไปกว่าความจริงใจที่มีให้กัน
จนเมื่อกลับถึงกรุงเทพแล้ว น้องก็ดังมากแล้ว และไม่ได้มีการมาเซ็นสัญญากันแต่อย่างใด
27 ม.ค.63 :
กองประกวดได้ส่งหนังสือทวงถามให้ฟ้าใสเข้ามาเซ็นสัญญาอีกครั้งที่สำนักงานของบริษัท ( มีเอกสาร)
21 ก.พ.63 :
ฟ้าใสได้เดินทางมาพร้อมญาติผู้ใหญ่ 2 ท่านและทนายความ เพื่อมาขอเจรจาโดยในวันดังกล่าวฟ้าใสได้ทำสัญญาขึ้นมาเองหนึ่งฉบับ เพื่อยื่นข้อเสนอและข้อเรียกร้องให้บริษัททำสัญญาฉบับดังกล่าวกับฟ้าใส
- ซึ่งทางบริษัทได้ตรวจสอบสัญญาฉบับดังกล่าวแล้วเห็นว่าคงไม่เหมาะและดูไม่เป็นธรรมกับทางบริษัท บริษัทจึงไม่รับข้อเสนอของฟ้าใส
- ฟ้าใสจึงยื่นข้อเสนอไม่ขอเข้าทำสัญญากับทางบริษัท ทางบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อฟ้าใสไม่มีเจตนาที่จะทำงานร่วมกันแล้วก็ไม่อยากจะบังคับจิตใจหรือดำเนินการตามกฏหมายใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งที่บริษัทมีสิทธิ์ที่จะพึงกระทำได้
- บริษัทจึงยินยอมให้ฟ้าใสไม่เข้าทำสัญญาตามที่เธอต้องการและในวันดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาตกลงเรื่องของการขอเงินบางส่วนและรางวัลที่จะได้รับจนเป็นที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่ายแล้วและได้กำหนดนัดลงชื่อ ในบันทึกข้อตกลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อไป
27 ก.พ.63 :
ทางทนายของบริษัทได้ส่งอีเมลบันทึกข้อตกลงให้กับทางทนายความของฟ้าใสได้ตรวจสอบ ทางทนายของฟ้าใสได้ตอบกลับมาว่าขอแก้ไขก่อนและได้มีการติดต่อเข้ามาว่าฟ้าใสไม่สามารถเข้ามาลงชื่อ บันทึกข้อตกลงตามที่นัดกันไว้ในวันที่ 28 ก.พ.63ได้ จึงขอเลื่อนเป็นวันที่ 4 มี.ค.63 แทน
4 มี.ค.63 :
- ฟ้าใสเดินทางมาที่บริษัทพร้อมญาติผู้ใหญ่หนึ่งท่านและทนายความเข้ามาพบกันที่บริษัทและฟ้าใสได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงทั้งสองฝ่าย
- ฟ้าใสได้รับเงินและสายสะพายไปครบถ้วนแล้วตามที่ตกลงกันไว้
- ในบันทึกดังกล่าวก็มีการตกลงกันไว้ว่าจะไม่ให้ข่าวเสียหายใด ๆ ต่อกัน และไม่เปิดเผยข้อตกลงใด ๆ ในบันทึกให้แก่บุคคลภายนอกทราบทั้งสิ้น ซึ่งข้อตกลงข้อนี้ฟ้าใสคงทราบดีอยู่แล้วทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางบริษัทจึงไม่เคยชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของฟ้าใสไว้ตลอดมา
เมื่อเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ทางกองประกวดอยากเรียนให้ทราบว่า เรายินดีและอนุญาตให้ฟ้าใสนำสัญญาทั้งหมดเปิดเผยต่อสาธารณะได้โดยรับรองว่าจะไม่เอาผิดแต่อย่างใด
หลังจากกองประกวดเผยไทม์ไลน์ดังกล่าว “เอส อนุสิทธิ์” ผู้จัดการของ "ฟ้าใส" โพสต์เฟซบุ๊ก 3 พ.ย. 63 ว่า
"ขอบคุณผู้ใหญ่จากกองมากครับ ที่ให้ความเป็นธรรมแก่น้องที่อนุญาติให้น้องเปิดข้อตกลงสุดท้ายที่น้องทำกับกองไว้ ผมขออนุญาตให้ทางกองเปิดสัญญาฉบับที่1 ฉบับที่2 ฉบับที่3 ด้วยได้ไหมครับ เพื่อความเป็นธรรมกับน้องฟ้าใส ขอบคุณมากครับ"
ต่อมา "ฟ้าใส" แชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก “เอส อนุสิทธิ์” ซึ่งเป็นภาพคอมเมนต์ของชาวเน็ตคนหนึ่งที่ได้ระบุว่าตนเป็นวงในออกมาแฉเรื่องวินัยการทำงาน, สัญญาที่ถูกแก้โดยมีลายมือของคุณแม่ฟ้าใส พร้อมขู่จะส่งหลักฐานเปิดโปงให้สื่อมวลชน ซึ่ง "ฟ้าใส" ได้ลั่นว่า
"ที่ผ่านมาเวลามีข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง แฟนคลับคอยปกป้องฟ้าใสมาตลอด ขอขอบคุณทุกคนจริง ๆ ค่ะ วันนี้ฟ้าใสขอลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองบ้าง ทุกคนจะได้ทราบความจริงค่ะ ดังนั้น ข้อความใด ๆ ที่โพสต์ออกมาแล้วไม่เป็นความจริง ซึ่งทำให้ฟ้าใสได้รับความเสียหาย ฟ้าใสจำเป็นต้องรักษาสิทธิ์ และดำเนินคดีกับผู้ที่กล่าวหา หรือโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นความจริงนั้น ตามกฏหมายต่อไปค่ะ"