จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "Suphaksana Vavichanee" ได้ประกาศตามหาแมวชื่อ "เจ้าสัว" สายพันธุ์อเมริกันช็อตแฮร์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 พ.ย. 63 ภายหลังหลุดออกจากบ้านใน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนทราบว่าเพื่อนบ้านได้แจ้งกู้ภัยใน อ.บางปะอิน ให้เข้าไปช่วยจับแมวตัว เนื่องจากกลัวว่าแมวจะไปกัดลูกหลาน และบอกว่าให้นำปล่อยไกล ๆ
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 9 พ.ย. 63 เจ้าของได้เจอร่างไร้วิญญาณของเจ้าสัว ไม่ไกลจากจุดที่ถูกนำมาปล่อย โดยสภาพเปื้อนโคลนไปทั้งตัว แต่ไม่มีบาดแผล ทำให้เจ้าของเสียใจเป็นอย่างมากนั้น
วันที่ 10 พ.ย. 63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังหมู่บ้านที่เกิดเหตุ หมู่ 2 ต.คลองจิก อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา บ้านของเจ้าของแมว นางสาวศุภักษณา วาวิชนี หรือ บีม อายุ 32 ปี เจ้าของแมว เปิดเผยว่า เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 7 พ.ย. 63 ที่ผ่านมา ตนและครอบครัวเดินทางไปเที่ยวที่ จ.สระบุรี โดยปล่อยให้ "แมวเจ้าสัว" และ "แมวเจ้านาง" อยู่ที่บ้าน โดยภายในบ้านและกรงนอนแมว มีกล้องวงจรปิด ติดไว้จุดละ 1 ตัว ส่วนหน้าบ้าน มีกล้องวงจรปิดอีก 1 ตัว
จากนั้น เวลาประมาณ 14.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย. 63 ซึ่งตนกำลังเดินทางกลับมาบ้าน จึงเปิดกล้องวงจรปิด แต่ไม่พบแมวเจ้าสัว จึงตัดสินใจให้เพื่อนบ้านเข้ามาดู กระทั่งทราบว่า หน้าต่างหน้าบ้านเปิดไว้ จึงคาดว่าแมวเจ้าสัวใช้มือเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดหนีออกจากบ้านไป
จากนั้น ตนจึงพยายามติดต่อเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเพื่อตามหาแมว กระทั่งทราบว่ามีเจ้าหน้าที่อาสากู้ชีพ มูลนิธิพุทไธสวรรย์ เข้ามาจับแมวเจ้าสัวใส่กระสอบไปปล่อยป่า และอ้างว่ามีการจะขู่และจะกัดเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนมองว่าเป็นปกติของแมวจะขู่คนแปลกหน้าที่จะเข้ามาทำร้าย ตนรู้สึกตกใจมาก และมุ่งหน้าเข้าไปยังป่าที่มีการนำแมวไปปล่อยทันที
พบเพียงกระสอบที่บรรจุแมววางทิ้งไว้ที่พื้น ตนตามหากระทั่งถึงเวลาประมาณ 19.00 น. จึงตัดสินใจกลับบ้านก่อน เนื่องจากค่ำมืด ยุงเยอะ เป็นจุดเปลี่ยวและอันตราย ก่อนจะกลับมาหาข้อมูลเพื่อตามหาแมวเจ้าสัวทั้งคืน ต่อมาตั้งแต่เช้าวันจันทร์ที่ 9 พ.ย. ตนออกตามหา จนถถึงเวลา 18.00 น. พบแมวอยู่ในสภาพนอนตายกลางพื้นโคลนที่มีหญ้าปกคลุม สภาพท้องยังนุ่ม แต่ที่แขนและขาแมว เริ่มแข็ง โคลนเลอะเต็มตัว
ทั้งนี้ ตนรู้สึกเสียใจ สะเทือนใจมาก ร้องไห้ เพราแมวเป็นเหมือนลูก เหมือนคนในครอบครัวที่ดูแลมาอย่างดี ซื้อกรงให้นอน กรงละ 17,000 บาท และซื้อมาในราคา 8,000 บาทเมื่อ 2 ปีก่อน ทั้งนี้ ภายหลังพบศพแมวเจ้าสัวตนจึงนำไปผ่าชันสูตรหาสาเหตุการตายของแมวอีกครั้งที่ รพ.สัตว์กรุงศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนจะนำศพแมวมาฝังไว้ที่พื้นดิน บริเวณหน้าบ้าน
ตนอยากฝากถึงกู้ชีพฯ ที่นำแมวไปปล่อยว่าไม่ควรจัดการกับแมวแบบนี้ ไม่ควรนำไปปล่อยกลางป่า จึงอยากให้ทบทวนวิธีการจัดการกับแมว และก่อนจะเข้ามาแสดงความรับผิดชอบ ให้รู้สึกผิดกับสิ่งที่กระทำก่อน
ขณะที่ นายบอย (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน ซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านใกล้เคียงกับบ้านเจ้าของแมว ถัดมา 3 คูหา ระยะห่างประมาณ 100 เมตร ระบุว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนภรรยาอยู่ที่บ้าน พบว่าช่วงเวลาตั้งแต่ก่อน 08.00 น. มีแมวเจ้าสัว ตอนนั้นตนไม่ทราบว่าเป็นแมวใคร เข้ามาในบริเวณหน้าบ้านตนและหน้าบ้านของเพื่อนบ้านอีกราย
โดยแมวเจ้าสัว นอนอยู่ที่บันไดทางขึ้นบ้าน ตรงกับประตูหน้าบ้านของเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับตน ทำให้เพื่อนบ้านออกจากบ้านไม่ได้ เพราะเมื่อเปิดประตูออกมา แมวเจ้าสัวขู่และคล้ายจะกัด อีกทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ เต็มบันได จึงเกิดความกลัว
กระทั่งต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. แมวยังคงนอนเฝ้าหน้าประตูบ้าน จึงช่วยกันนำน้ำมาฉีดไล่ แต่แมวยังไม่ยอมออกไป สุดท้ายจึงปรึกษากันในกลุ่มไลน์ลูกบ้าน โทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือจากอาสากู้ชีพมูลนิธิพุทไธสวรรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาจับแมวไปปล่อย พร้อมบอกว่าให้นำไปปล่อยไกล ๆ เพราะกลัวกัดคนในหมู่บ้าน ยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายแมว ใช้อุปกรณ์ห่วงคล้องจับใส่กระสอบปุ๋ย แล้วไปปล่อยป่า
เบื้องต้น ภรรยาของตนและเจ้าของแมวมีการพูดคุยกันแล้ว พร้อมทั้งเอ่ยขอโทษเจ้าของแมวไปแล้ว เพราะที่ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยมาจับ เนื่องจากคิดว่าเป็นแมวจร เนื่องจากไม่มีปลอกคอ
ด้านนายเมธาสิทธิ์ วันจา อายุ 32 ปี อาสากู้ชีพ เปิดเผยว่า ที่ผ่านว่าตนได้รับแจ้งว่ามีแมวเข้าบ้านประชาชน สร้างความวุ่นวาย ก่อกวน และมีท่าทีจะทำร้ายเจ้าของบ้าน เมื่อตนไปถึงพบว่าแมวอยู่ใสสภาพเปียกน้ำ มอมแมม ชาวบ้านในจุดดังกล่าวนำน้ำมาฉีดเพื่อไล่แมวออกไปให้พ้นประตู แต่แมวไม่ยอมออก ประกอบกับแมวมีอาการดุร้ายจริง
จากนั้น ตนและน้องอาสากู้ชีพอีกราย นำห่วงคล้องมาช่วยจับแมว ใส่ลงในกระสอบปุ๋ยก่อนจะใช้เชือกรัดที่ปากกระสอบ แล้วนำมาปล่อยที่ป่า ห่างจากบ้านเจ้าของแมวประมาณ 500 เมตร ซึ่งชาวบ้านที่เดือดร้อน เป็นคนขอให้นำไปปล่อยที่ไหนก็ได้ ที่ไม่กัดคน ตนจึงตัดสินใจนำไปปล่อยป่า และสาเหตุที่เลือกนำมาปล่อยป่า เนื่องจากหากไปปล่อยตามชุมชน แมวอาจจะกัดคนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง ก็จะกลายเป็นความผิดของอามากู้ชีพฯ และขอยืนยันว่าไม่เคยทำร้ายแมว ซึ่งจากที่ทางด้านเจ้าของแมวบอกว่าใบหูขวาของแมวเขียวช้ำนั้น ตนอยากให้นำไปผ่าชันสูตรหาสาเหตุแล้วนำหลักฐานมาต่อสู้คดี
ส่วนกรณีที่นำแมวไปปล่อยนั้น ไม่ได้มัดปากถุงแน่น เพราะจุดที่นำไปปล่อยใช้เวลาเดินทางไปประมาณไม่เกิน 5 นาที แมวไม่เป็นอันตราย แมวยังเดินอยู่ ภายหลังจากเกิด ยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือขอโทษ เพราะต่อให้พูดคุยไปก็ทะเลาะมีปากเสียง จึงขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนไม่รู้สึกเครียดหรือกังวล
อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกเสียใจด้วยที่แมวเจ้าสัวตาย เห็นใจความรู้สึกของคนที่รักแมวอาจจะรู้สึกสะเทือนใจ ส่วนตนนั้นไม่ได้รักแมว จึงรู้สึกเฉย ๆ เท่านั้น