กรณีนายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ อาชีพทนายความ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกสภาทนายความฯ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด สมาชิกสภาทนายความ ร่วมกันจัดตั้งมูลนิธิ และดำเนินกิจการของมูลนิธิ ว่าเป็นการแข่งขันกับองค์กรสังกัดสภาทนายความฯ
ล่าสุด วันนี้ (22 มี.ค.)
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่ได้มีความกังวล เพราะมั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้องและโปร่งใส
ส่วนกรณีที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งกล่าวชื่นชมยกย่องหลังจากช่วยแก้ต่างคดีให้จำเลยจนศาลยกฟ้องคดี ซึ่งนายบุญถาวรบอกว่าให้เปิดชื่อผู้พิพากษารายดังกล่าวนั้น นายษิทรามองว่าการเปิดเผยชื่อเป็นเรื่องไม่สมควร และจะไม่ไปพูดออกสื่อ แต่ถ้าใครอยากจะรู้ก็ให้ไปตรวจสอบได้ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ ซึ่งครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาท่านชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ตนได้ทำประโยชน์ให้สังคม ดังนั้น การที่โพสต์ไปนั้น จึงไม่ได้เป็นอาจอวดอ้าง แต่เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าถ้าทำดี มีผู้ใหญ่ชื่นชม มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ
สำหรับมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อเยาวชนและสังคม ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี 2559 ยืนยันว่า ไม่ได้เปิดมาเพื่อหาผลประโยชน์ ซึ่งในช่วงแรกก่อนจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ ได้ใช้เงินส่วนตัวในการบริหารจัดการทั้งหมด จนกระทั่งนายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในสมัยนั้นได้แนะนำให้จดเป็นมูลนิธิ ตอนนี้ยอมรับว่าได้งบประมาณจากกระทรวงยุติธรรมส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการพี่สอนน้อง เพื่อให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน ซึ่งมีการทำแบบเสนอโครงการและรายงานผลโครงการตามขั้นตอนทุกอย่าง ดังนั้นจึงมีความโปร่งใส ไม่มีความกังวลหากใครจะตรวจสอบ นอกจากนั้นทุกวันนี้ มูลนิธิก็ยังไม่เคยเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชน เพราะยอมรับว่ารู้สึกเขินที่จะขอรับบริจาคจากคนภายนอก แต่ก็มีประชาชนเข้ามาบริจาคเองบ้างแต่ในจำนวนไม่มาก คนละ 100-200 บาท
นายษิทราเชื่อว่า ตอนนี้มีคนที่พยายามจะทำทุกทางที่จะโจมตีตน ซึ่งเมื่อทำลายเรื่องมรรยาทไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปโจมตีมูลนิธิแทน ซึ่งมูลนิธิไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย
ถ้าเกิดว่าต้องการที่จะทำลายกัน ให้มาลงที่ตนคนเดียว อย่าไปยุ่งกับมูลนิธิซึ่งเป็นองค์กรที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม
สำหรับกรณีที่นายปรีชา ใครครวญ ร้องขอให้กระทรวงยุติธรรมสอบปากคำพยานคดีหวย 30 ล้านเพิ่มเติม นายษิทรา มองว่าเป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายครูสามารถทำได้ เชื่อว่าตำรวจก็น่าจะสอบให้ตามที่ร้องขอ ซึ่งตนไม่มีความกังวลว่าจะมีผลต่อคดี เพราะเชื่องว่ากองปราบฯ น่าจะมีพยานหลักฐานสมบูรณ์เกิน 90% แล้ว ซึ่งคดีนี้เน้นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าพยานบุคคล เพราะพยานบุคคลสามารถจะจูงใครมาก็ได้ หรือจะเตรียมคำให้การมาอย่างไรก็ได้
ส่วนที่ครูปรีชาบอกว่าทำไมฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ วิมูล ถึงไม่พยายามตามหาผู้ที่ขายลอตเตอรี่เลย ตนมองว่า ร.ต.ท.จรูญ เป็นผู้ซื้อลอตเตอรี่ เป็นคนจ่ายเงิน ถ้าถูก 30 ล้านบาทแบบนี้ ไม่ต้องไปบวชให้คนขายเลยหรือ ซึ่งตนมองว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะถ้าคนขายเป็นคนรู้จักกัน ลุงจรูญอาจจะมีสินน้ำใจให้ แต่ลุงจรูญยืนยันว่าไม่รู้จัก ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องตามหา และประเด็นสำคัญคือ ลุงจรูญไม่ได้อยากให้ใครรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองถูกรางวัล เขาอยากอยู่ของเขาเงียบ ๆ เพราะเขาเป็นคนสมถะ โดยถ้าหากคนขายมาแสดงตัวว่าขายให้กับลุงจรูญ ตนก็ยังมองว่าลุงจรูญไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งเงินให้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ ลุงจรูญซื้อมา ไม่ได้เป็นบุญคุณกัน แต่ก็ตอบแทนลุงจรูญไม่ได้ว่าจะให้หรือไม่