กรณีเหตุยิงการ์ดผู้ชุมนุมคณะราษฎร บริเวณหน้าแมคโดนัล แยกรัชโยธิน จนมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ นายวันชัย อารีย์ อายุ 25 ปี อดีตนักศึกษาอาชีวะสถาบันเทคนิคปทุมธานี และนายภาสพงศ์ กุลอมรกานต์ อายุ 25 ปี อดีตนักศึกษาอาชีวะสถาบันมีนบุรีโปลีเทคนิค หลังประกาศยุติการชุมนุมหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ช่วงค่ำวานนี้ (25 พ.ย.63) ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันที่ 26 พ.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับ นายทินกร ปลอดภัย แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายปกป้องสถาบัน ซึ่งเคยไปเป็นแกนนำแสดงจุดยืนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเกิดการปะทะเกิดขึ้น เปิดเผยว่า ตนได้ติดตามข่าวการชุมนุม โดยได้เห็นภาพข่าวที่มีการยิงปืนและปาระเบิด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตนยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่มีการแฝงตัวของกลุ่มภาคีฯ เข้าไปแน่นอน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นสำหรับการชุมนุมของคณะราษฎร ตนเคยเตือนหลายครั้งและพยายามพูดหลายครั้งว่า เหตุการณ์อาจเป็นเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุของคืนที่ผ่านมา มีการพยายามโยงกลุ่มที่ก่อเหตุมาถึงกลุ่มอาชีวะที่เกี่ยวข้องกับภาคีฯ ของตน ซึ่งตนยืนยันว่ากลุ่มภาคีฯ เราต่อสู้อย่างอหิงสา ยึดกรอบของกฎหมายในการออกมาเพื่อปกป้องสถาบัน เราไม่นิยมความรุนแรง ยกเว้นหากมีเหตุเฉพาะหน้า เราก็จะสู้แบบเปิดหน้า ไม่มีการปกปิด การไปลอบทำร้ายยืนยันว่าไม่มีแน่นอน
อย่างคนที่ระบุว่า เป็นมือปืนและถูกจับไปนั้น ตนคงตอบไม่ได้ว่าเคยมาร่วมชุมนุมกับตนหรือไม่ แต่อาชีวะมีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำงานกับภาคี และกลุ่มฟันเฟืองเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้นคงตอบไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มใด จะขัดแย้งกันเองหรือไม่ แต่ฝ่ายภาคีฯไม่มีการสั่งการให้ไปก่อเหตุแน่นอน ส่วนหากคนจะไปโยงว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มภาคีฯ ตนคงห้ามความคิดไม่ได้ แต่ตนอยากให้ดูที่ข้อเท็จจริง
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับ นายทศพล มนูญญรัตน์ แกนนำกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ระบุว่า ตนเพิ่งทราบข่าวว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ยอมรับว่าถูกกระแสดราม่า โดยตนได้ดูเพียงคลิปวิดีโอขณะกิดเหตุ และคลิปวิดีโอผู้บาดเจ็บได้พูดคุยบนรถกู้ภัยเท่านั้น นอกจากนี้ตนได้ดูภาพกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นศิษย์เก่าของสถาบันมีนบุรีโปลีเทคนิคจริง แต่ได้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากปลอมแปลงเอกสารการเรียน
นายทศพล ยอมรับว่า ผู้ก่อเหตุเคยมาร่วมการชุมนุมกับตน ในวันที่ 30 ก.ค.63 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งในวันนั้นตนได้ไปแถลงประกาศจุดยืน หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุและเพื่อนได้มีความคิดและมุมมองที่เปลี่ยนไป แล้วตัดสินใจถอยห่างออกไป จึงได้ผันตัวเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มปลดแอก ซึ่งน่าจะไปร่วมการชุมนุมหลายครั้งแล้ว
ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้สั่งกลุ่มผู้ก่อเหตุไปสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องส่งไป ซึ่งตนมองว่าหากส่งกลุ่มผู้ก่อเหตุไปจะเป็นการเผชิญหน้าเกินไป มันไม่คุ้ม ขณะนี้ตนไม่อยากให้เกิดความรุนแรง นอกจากนี้ตนไม่ได้รู้จักกับผู้ก่อเหตุเป็นการส่วนตัว รู้เพียงว่าเป็นรุ่นน้อง ไม่ได้ติดต่ออะไรกัน โดยจะพบปะกันในงานของสถาบันปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้มีชาวเน็ตอ้างว่า ตนนั้นจ้างกลุ่มผู้ก่อเหตุไปสร้างความวุ่นวาย ตนอยากฝากบอกว่า หากอยากแชร์ก็แชร์ไป ตนพร้อมที่จะฟ้องหมดทุกคน เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง แต่ใครจะแชร์อะไรก็ควรระมัดระวัง เพราะโลกโซเชียลฯ ค่อนข้างแรง ตนไม่ได้กังวลอะไร สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนมองว่ารุนแรง โดยการปะทะอารมณ์ของเด็กช่างจะรุนแรงอยู่แล้ว พร้อมกับคาดว่าการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสาเหตุที่กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ยิงผู้บาดเจ็บ ตนเชื่อว่าเป็นการทะเลาะกันเอง แต่ดันไปก่อเหตุในกลุ่มมวลชนที่ใหญ่ จนเป็นข่าวว่าตนสั่งการบ้าง
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ระบุว่า จากการสืบสวนและสอบสวนพยาน 3-4 ปาก ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ มีความชัดเจน ตามหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอศาลออกหมายจับนายภาสพงศ์ ผู้ยิงที่ถูกรุมทำร้ายร่างกายหลังก่อเหตุ ส่วนบุคลอื่น ๆ นั้นกำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ เบื้องต้นเป็นความผิดฐานครอบครองอาวุธปืน เนื่องจากมีหลักฐานตั้งแต่ก่อนและขณะเกิดเหตุ ทั้งภาพกล้องวงจรปิด และพยานบุคคลชัดเจน ส่วนอาวุธปืนที่พบนั้นเป็นปืนลูกโม่ขนาด .38 เบื้องต้นกำลังตรวจสอบทะเบียนว่ามีหรือไม่ เรื่องการครอบครองและลายพิมพ์นิ้วมือ พร้อมทั้งคราบเขม่าปืนทั้งหลาย