ยังคงเป็นดราม่าที่หลายคนคงติดตาม เกี่ยวกับเรื่องราวของ "ฟ้าใส ปวีณสุดา" มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวต้องเจอกับกระเเสดราม่าหลากหลาย ทั้งเรื่องมงกุฏ สัญญากับทางกองประกวด ตลอดจนเรื่องการประพฤติส่วนตัว จนทำให้เจ้าตัวไม่ไหวถึงขั้นลุกขึ้นมาประกาศเตรียมฟ้องเกรียนคีย์บอร์ดบางราย ตลอดจนสื่อบางเพจ ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะกล่าวหาว่าเป็นนางงามลวงโลก ไม่มีวินัย ชอบตื่นสาย กินข้าวดึก ไม่ลดน้ำหนัก แถมไม่ยอมเซ็นสัญญากองประกวด สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใหญ่ไปหมด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทาง "ฟ้าใส ปวีณสุดา" พร้อมด้วยทนายความส่วนตัวได้เดินทางไปเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อปรึกษาข้อกฎหมาย ในการแจ้งความเอาผิดเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กคนดังกล่าวที่โพสต์ข้อความอันเป็นเท็จ สร้างความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับเจ้าตัว ตลอดจนมีสื่อออนไลน์ที่ได้ข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่เป็นข่าวต่อ โดยพนักงานสอบสวนเผยว่า บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวปิดไปแล้ว ตรวจสอบไม่ได้ ส่วนสื่อออนไลน์นั้น แนะนำให้ทนายและผู้เสียหายติดต่อไปยังสำนักข่าว เพื่อแจ้งผู้รับผิดชอบให้นำข่าวดังกล่าวออกจากสารระบบ
อย่างไรก็ตามล่าสุดวันนี้(27 พฤศจิกายน 2563) ทาง "ฟ้าใส ปวีณสุดา" พร้อมด้วยทนายความส่วนตัว "คุณนงลักษณ์ แตงเจริญ " ได้เดินทางมายังสำนักงาน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมืองทองธานี พร้อมเข้าพบ “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อปรึกษาแนวทางการต่อสู้ทางกฎหมายในการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ร้ายหรือโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นความจริงนั้นตามกฎหมาย
โดยทาง "ฟ้าใส" เผยว่าสาเหตุที่เดินหน้าฟ้องร้องนั้นมาจากก่อนหน้านี้ย้อนไปในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนได้ไปออกงานงานหนึ่ง แล้วไม่ได้มีการสวมใส่มงกุฎ ทำให้มีชาวเน็ตบางท่านออกมาพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีชาวเน็ตคนหนึ่งได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ ประมาณว่าทำไมเป็นนางงามไม่มีมงกุฎ พร้อมคาดเดาไปต่างๆนานๆว่าเป็นเพราะตนประพฤติตนไม่ดี เป็นนางงามลวงโลกหรือเปล่า เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าส่วนตัวมองว่าทุกคนสามารถคาดเดาได้ แต่ไม่ควรล่วงเกินหรือข้ามเส้นเกินไป เพราะมีหลายคนที่ล่วงเกินข้ามเส้นเกินไป ส่วนใหญ่มีการโพสต์ในเพจนางงาม และมีการแคปไปโพสต์แชร์ต่อๆ จนทำให้หลายสื่อนำเสนอข่าวนี้ จนทำให้หลายคนเข้าใจผิด เลยตัดสินใจมาดำเนินคดีในวันนี้ โดยจะดำเนินคดีกับทั้งคนที่เม้นต์ข้อความและคนที่แชร์ต่อ ส่วนจะเป็นจำนวนกี่รายนั้นส่วนตัวมองว่าไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของตนและครอบครัวที่ต้องมาเจอกับดราม่าครั้งนี้
เผยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ตลอดจนครอบครัวของตนเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ขนาดคุณพ่อของตนไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ แต่เขาก็พยายามจะแปลภาษาและอ่านข่าวจนทำให้เขารู้สึกแย่ไปด้วย ทั้งนี้อยากจะบอกว่าหลังที่เจอเหตุการณ์หลายๆสิ่งเข้ามาทำให้ตนถึงขั้นเครียดและตรวจพบว่ามีอาการคล้ายโรคซึมเศร้าในช่วงเดือนสิงหาคมและทำให้ตัวตนของเราคนเดิมหายไป ลั่นนอกจากตนแล้วทางคุณพ่อคุณแม่ของตนที่เปรียบเหมือนดวงใจกลับต้องมาเจอดราม่าด้วย
ขณะที่ทาง "คุณนงลักษณ์"ทนายส่วนตัว กล่าวว่า สำหรับหลักฐานที่นำมาให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั้ย จะมีทั้งในส่วนของมีคนที่โพสต์และคนที่แชร์ รวมทั้งสื่อที่นำเสนอ เพราะตามกฎหมายอาญาไม่ว่าใครก็แล้วแต่ก็เข้าองค์ประกอบความผิดอยู่แล้ว ทั้งนี้จะดำเนินการฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่ความเสียหายในทางแพ่ง ถามว่าถึงล้านไหม แน่นอนว่าด้วยตำแหน่ง Top5 มิสยูนิเวิร์ส มันควรจะเสียหายเท่าไหร่ รวมถึงระยะเวลาที่เสียหาย อย่างไรอีกหนึ่งสิ่งการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อไม่อยากให้วงการนางงามตกต่ำ แต่การออกมาเรียกร้องสิทธิของน้องนั้นมันเป็นการทำให้ความจริงกระจ่าง
ขณะที่ทาง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์เรียบร้อย และได้มอบหมายให้กองปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) สอบปากคำ ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา ไม่เข้าความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังจากนี้จะประสานเจ้าของท้องที่ สน.พหลโยธิน รับเรื่องไว้เป็นคดีต่อไป