จากกรณีที่พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ได้มีการสรุปสำนวนสั่งฟ้อง
ครูปรีชา ใคร่ครวญ และ
นางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือ
“เจ๊บ้าบิ่น” ในข้อหาแจ้งความเท็จ ซึ่งในวันนี้เจ้าหน้าที่กองปราบได้นำสำนวนส่งให้อัยการเป็นที่เรียบร้อย ขณะเดียวกันในคดีที่ครูปรีชาได้แจ้งความเอาผิด ร.ต.ท.จรูญ วิมูล นั้น ปรากฎว่าตำรวจได้มีความเห็นควรไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว จึงมีคำถามว่าจากนี้ ครูปรีชา จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
วันนี้ ( 3 เม.ย. 61)
“รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์ -ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ
นายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายความครูปรีชา เข้ามาร่วมพูดคุยในรายการ
โดย
ทนายวรยุทธ เล่าจุดเริ่มต้นที่เข้ามาทำคดี ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับครูปรีชามาก่อน แต่วันหนึ่งได้มีโอกาสร่วมฟังการไต่สวนฉุกเฉินเกี่ยวกับการแจ้งอายัดเงินคดีหวย 30 ล้านบาท ด้วยความบังเอิญ ซึ่งทำให้ตนได้ทราบข้อเท็จจริงบางส่วน จนกระทั่งมีการเปลี่ยนตัวทนายความ ประกอบกับครูปรีชาได้ติดต่อมา และตนได้ลงพื้นที่หาข้อมูลมาก่อนที่จะตัดสินใจรับทำคดีแล้ว
ส่วนที่ครูปรีชาเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมที่กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าตนเป็นคนแนะนำ เพราะการต่อสู้คดีนั้น เราต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย เมื่อกฎหมายเปิดช่องให้ทำอะไรได้ เราต้องทำทุกรูปแบบ แต่การจะทำอะไรลงไปนั้น ต้องมีกฏหมายและข้อเท็จจริงรองรับ
สำหรับสาเหตุที่ต้องร้องขอให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เข้ามารับทำคดีนั้น เพราะตนมองว่ามีความขัดแย้งกันระหว่างหน่วยงานของตำรวจเอง ระหว่างตำรวจภูธรภาค 7 และกองบังคับการปราบปราม ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากให้ DSI ที่ตนมองว่าเป็นคนกลางมาทำคดี
ส่วนกรณีที่เดินทางไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้มีการสอบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนมองว่าเป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย คนอื่นจะเชื่ออย่างไรเป็นเรื่องของเขา เพราะหากไม่ทำอะไรเลย คุกก็รออยู่ เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามได้มีการประกาศไว้แล้วว่า ให้ล้างคุกรอลูกความตนไว้ได้เลย
สำหรับกรณีที่วันนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้ส่งสำนวนให้อัยการ โดยตำรวจมีความเห็นควรสั่งฟ้องสำนวนที่ร.ต.ท.จรูญ กล่าวหาครูปรีชากับเจ๊บ้าบิ่น ในข้อหาร่วมกันแจ้งความเท็จฯ ขณะนี้ตนอยู่ระหว่างพิจารณำนวนคดี ขณะเดียวกัน ในกรณีที่ตำรวจมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องสำนวนผู้ที่ครูปรีชาฟ้องร.ต.ท.จรูญ ข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอกของตกนั้น ตนไม่เห็นด้วย จึงเตรียมที่จะนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีตามสิทธิ์ของผู้เสียหายที่จะนำคดีไปฟ้องร้องด้วยตนเองในวันที่ 5 เม.ย.นี้ ซึ่งตำรวจจะต้องใช้ดุลพินิจในการมีความเห็นควรสั่งฟ้อง หรือควรสั่งไม่ฟ้อง โดยส่วนที่มีความเห็นไปแล้ว จะสุจริตและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ตำรวจก็จะต้องรับผิดชอบในดุลยพินิจ ส่วนนี้ตนกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะมีการฟ้องร้องหน่วยงานใดต่อหรือไม่
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากมีพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีจริง เหตุใดจึงไม่เปิดเผยออกมา ตนอยากถามกลับไปว่า เปิดเผยเพื่ออะไร เปิดเผยออกไปแล้วใครได้ประโยชน์ และเท่าที่ดูตามกระแส ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังใช้โซเชียลและสังคมให้มากดดัน มาเปลี่ยนแปลงผล เพราะแม้แต่การทำงานของตำรวจภูธรภาค 7 ที่ทำคดีไปตามขั้นตอนยังถูกโจมตี ตนจึงมองว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ปกติ
ส่วนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้น ตนเชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น สามารถทำการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ เพราะบางคดีที่มีการนำตัวผู้ต้องหาเข้าเครื่องจับเท็จ ศาลยังไม่รับฟังเลย เพราะไม่ใช่เพียงพยานปากเดียว หรือของสิ่งเดียวแล้วจะสามารถบ่งชี้ข้อเท็จจริงได้ทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าคดีนี้ถือเป็นบรรทัดฐานในการทำคดี เพราะคดีลอตเตอรี่ก่อนที่จะออกหมายเรียกผู้ต้องหา เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหานั้น จะมีการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้เชื่อได้ว่ามีพยานหลักฐานเสียก่อน จึงออกหมายเรียก ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ พอรับแจ้งความเสร็จ ก็จะมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาในทันที
ตนอยากฝากถึงทนายฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ ว่า อย่าไปขอศาลแพ่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีอาญา หากอยากให้ชาวบ้านรู้ข้อเท็จจริงโดยเร็ว ว่าลอตเตอรี่เป็นข้อใคร ตนขอให้ไปสู้กันในศาลแพ่งเลย
หลังจากจบรายการ รายการต่างคนต่างคิด นายวรยุทธ ได้เปิดเผยถึงกรณีเพจชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมนำคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า กับเพื่อน มาเผยแพร่ โดยระบุว่า คลิปเสียงทั้งหมดไม่มีผลต่อรูปคดี เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องการกระทำส่วนบุคคล และฟ้าเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าทางใดกับคดีหวย 30 ล้าน ซึ่งตนไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงว่าทำเพื่ออะไร แต่ครูปรีชาเคยกล่าวกับตนว่า หากมีการกล่าวพาดพิงที่เป็นการละเมิดครู ก็จะดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดทันที
อย่างไรก็ตาม ทนายวรยุทธกล่าวถึงความน่าเชื่อถือของพยานในคดี โดยสมมติว่าฟ้าเป็นพยานฝ่ายครูปรีชาจริง และมีพฤติกรรมตามที่ปรากฏ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ เพราะข้อเท็จจริงในคดีที่นำสืบต่อศาล กับพฤติกรรมส่วนตัวมันคนละเรื่องกัน
ด้าน
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ กล่าวถึงกรณีมีกระแสว่าตนแอบช่วยเหลือคดีลอตเตอรี่ 30 ล้าน แต่ไม่เปิดตัว โดยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนประเด็นที่ในคลิปเสียง มีการระบุว่า ตนแอบเชียร์ครูปรีชา เพราะครูปรีชามีเจ๊บ้าบิ่นเป็นประจักษ์พยาน ทนายเดชา ชี้แจงว่า เวลาที่ตัวเองแสดงความคิดเห็นออกสื่อฯ คนส่วนใหญ่ทราบดีอยู่แล้ว ว่าตัวเองให้น้ำหนักไปทางใด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ส่วน ฟ้าจะพูดว่าตัวเองเชียร์ใครอยู่ก็เรื่องของเขา ถ้าตัวเองไม่เสียหายก็ไม่เป็นไร
ส่วนกรณีที่ฟ้าอ้างว่าเคยเจอกับทนายเดชา นั่นเพราะเป็นการเจอกันขณะร่วมพูดคุยในรายการรายการโทรทัศน์หลายครั้ง ยอมรับว่าได้มีการพูดคุยแลกเบอร์โทรศัพท์กัน จึงมีความสนิทสนม ในฐานะคนที่เคยออกรายการด้วยกัน ยอมรับว่า มีการโทรศัพท์พูดคุยกันหลายครั้ง แต่เป็นเรื่องภาพลักษณ์ในการออกรายการ ว่าจะต้องใช้คำพูดอย่างไร หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อกฎหมาย แต่ไม่ได้ให้คำแนะนำเรื่องการต่อสู้คดี
นอกจากนี้ ทนายเดชา กล่าวถึงกรณีที่ในคลิปเสียงดังกล่าว มีการอ้างว่า ครูปรีชาขอเบอร์โทรศัพท์ของทนายเดชา เพราะอยากให้ช่วยเป็นทนายสู้คดีให้ โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และครูปรีชาไม่เคยโทรหาตนเอง หากเป็นจริง ทางกองปราบฯ คงเอาออกมาแสดงแล้วว่ามีการโทรเมื่อใด อย่างไร รวมถึงครูปรีชามีทนายความส่วนตัวอยู่แล้วหลายคน ซึ่งตามหลัก หากลูกความมีทนายความอยู่แล้ว ตนจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะผิดมรรยาททนายความ