หลังจากที่นายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายครูปรีชา เปิดเผยว่ามีประจักษ์พยานฝ่ายครูปรีชามากกว่า 10 ปาก จะไปให้การในชั้นศาลกรณีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท ซึ่งต่อมา
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยตั้งข้อสังเกตว่า หากมีพยานครูปรีชา เห็นหวยตกจริง ทำไมทนายวรยุทธ ต้องฟ้องแบบแทงกั๊ก หรือ เข้าข่ายไม่แน่ใจ และทำไมไม่ฟ้องข้อหา ยักยอกทรัพย์ที่หายไปให้มีความชัดเจน
ล่าสุด วันนี้ (8 เม.ย.)
นายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายครูปรีชา ชี้แจงว่า ทนายเกิดผลอาจจะเข้าใจผิด ตนเองไม่เคยออกมาพูดอย่างแน่นอนว่า ครูปรีชามีพยานที่เห็นครูทำหวยตก แล้วเห็นลุงจรูญก้มเก็บหวย ที่สำคัญทางครูปรีชา ได้ฟ้องลุงจรูญ 2 ข้อหา คือ ข้อหารับของโจร และข้อหายักยอกทรัพย์ ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมย้ำว่า ตนเองไม่ได้ฟ้องแบบแทงกั๊ก แต่เรียกว่า “ดักไว้ทุกทาง” เป็นเทคนิคเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากลุงจรูญเอาหวยไปขึ้นเงิน ดังนั้น หมายความว่าทรัพย์ของครูปรีชา ถูกประทุษร้ายไปอยู่กับลุงจรูญ จึงฟ้อง 2 ข้อหา
ทั้งนี้ ทนายวรยุทธ ยืนยันว่า พยานของครูปรีชามีความน่าเชื่อถือ เป็นประจักษ์พยาน คือพยานผู้เห็นกับตา และอยู่ในเหตุการณ์จริง โดยรายละเอียดเรื่องนี้ ตนไม่ขอให้ข้อมูลว่าพยานเห็นอะไรมาบ้าง เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อรูปคดี
ทนายวรยุทธ ย้ำว่า พยานรายนี้มีน้ำหนัก ชี้ชัดได้ ไม่ใช่พยานบอกเล่า ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองผู้ใด เป็นพยานคนกลาง เพราะไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ และจะไปศาลวันนัดสืบพยานปากแรกอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ได้ฝากถึงทนายษิทราว่า ให้เตรียมตัวซักค้านให้ดีก็แล้วกัน ทนายวรยุทธ ย้ำอีกว่า วันที่นัดสืบพยาน คงจะมีคนไปให้กำลังใจครูปรีชา หลายคน วันนั้นศาล จ.กาญจนบุรี อาจจะเล็กไปเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ตนเองจะไม่เคลื่อนไหว ซึ่งได้เตรียมเอกสารเดินหน้าฟ้องร้องคนละเมิดสิทธิดูหมิ่นครูปรีชา ที่ทำให้ชื่อเสียงครูปรีชาเสียหาย และเตรียมเอกสารยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการ หลังช่วงสงกรานต์ ระหว่างนี้ ช่วงสงกรานต์ ตนจะไปทำบุญไหว้พระที่ จ.ยโสธร แต่ไม่ได้ขอพรเรื่องคดีหวย 30 ล้าน เพราะเรื่องนี้ ตนไม่ได้พึ่งพระด้วยการขอพร แต่ใช้สติ เพียงแค่นั่งสมาธิเท่านั้น
นอกจากนี้ ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่เพื่อสอบถามผู้ค้าเกี่ยวกับพยานฝ่ายครูปรีชา ตลาดนัดร่มแฝก จ.กาญจนบุรี ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจากตลาดนัดเรดซิตี้มักมาตั้งขายที่ตลาดแห่งนี้ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยแม่ค้าร้านขายไก่ บอกกับทีมข่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ ตนเองยังไม่เคยได้รับการติดต่อให้เป็นพยาน และไม่อยากจะเป็นพยานให้ใคร เพราะกลัว และไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน นอกจากนี้ แม่ค้าร้านขายไก่ยังบอกว่า ร้านที่อยู่ใกล้กับแผงหวยในวันเกิดเหตุก็จะมีร้านโรตี ร้านผลไม้ และร้านโจ๊ก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีร้านไหนไปเป็นพยานให้กับครูปรีชาหรือไม่
ด้านแม่ค้าร้านขายกล้วยกับข้าวโพด เปิดเผยว่า ในวันนั้นตนเห็นครูปรีชามารับลอตเตอรี่ที่หน้าแผงขาย แต่ตนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะกำลังขายของ ที่ผ่านมาตนก็เห็นครูปรีชามารับลอตเตอรี่แบบนี้เป็นประจำ วันนั้นเห็นแค่เขายื่นลอตเตอรี่ให้กัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นเลขอะไรบ้าง ส่วนตัวตอนนี้ยังไม่มีใครมาติดต่อให้เป็นพยาน แต่หากใครให้ไปเป็นพยาน ตนก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นให้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม วันนั้นตนไม่เห็นลุงจรูญมาที่ตลาดนัด และตนก็ไม่คุ้นหน้าลุงจรูญว่าเคยมาที่ตลาดด้วย
ขณะที่ แม่ค้าขายหอมกระเทียม เปิดเผยว่า หากขายที่ตลาดเรดซิตี้ แผงตนจะตั้งติดกับแผงขายลอตเตอรี่ ซึ่งในวันนั้นตนก็เห็นว่า ครูปรีชามายืนที่หน้าแผงลอตเตอรี่ แต่ตนไม่ได้สังเกตว่า มีการยื่นลอตเตอรี่ให้กันตอนไหน เพราะตนยุ่งอยู่กับการขายของให้ลูกค้า แล้วต้องเลี้ยงลูกอ่อนด้วย จึงไม่ได้มอง แต่หากใครมาขอให้เป็นพยาน ตนไม่ขอยุ่งดีกว่า เพราะตนเห็นเพียงแค่ครูปรีชามาที่แผง แต่ไม่ทราบว่าซื้อเลขอะไร ส่วนลุงจรูญ ตนไม่เคยเห็นว่ามาเดินตลาดนัด อาจเป็นเพราะตนไม่รู้จักด้วย แต่ภรรยาของลุงจรูญเป็นลูกค้าประจำร้านตน ซึ่งในช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นมาซื้อของที่ร้านเท่าใดนัก
ด้าน
ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เปิดเผยว่า การที่แต่ละฝ่ายจะนำพยานขึ้นสู่ศาลนั้น เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะพยานเก่ามีความหวาดกลัว หลังจากที่กระแสข่าวออกมา โดยส่วนตัวคิดว่า กรณีนี้ เจ๊บ้าบิ่น ซึ่งเป็นพยานคนเดียวนั้นก็เกินพอแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทนายฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ ที่จะซักค้านให้พยานเกิดความไม่น่าเชื่อถือ และพยานปากนั้นๆ ก็จะหมดความสำคัญไป
อย่างไรก็ตาม คนที่มองว่าการนำพยานมาให้การในชั้นศาล อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการสร้างพยานใหม่หรือไม่ ทำไมเพิ่งจะออกมาในช่วงเวลาที่เปลี่ยนทนายใหม่ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นเพราะพยานเหล่านี้กลัวจะได้รับผลกระทบจากการออกมาเป็นพยาน ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
ดร.สุกิจ ระบุว่า กรณีนี้จะไม่ซ้ำรอยเหมือนกับกรณีนายแผนอย่างแน่นอน เนื่องจากการนำพยานขึ้นสู่ศาล ไม่ใช่เป็นพยานที่เกิดใหม่ แต่เป็นพยานที่มีอยู่แล้ว พยานเหล่านี้ที่ไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวนก็มีข้อดี คือ หากเป็นพยานจริง เมื่อให้การกับศาล ก็จะได้รับความคุ้มครองจากศาลทันที แต่หากให้การในชั้นพนักงานสอบสวน หากตำรวจลงความเห็นแย้ง ก็จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาเป็นพยานเท็จทันที ส่วนตัวจึงมองว่าเป็นสิทธิที่ทนายความฝ่ายครูปรีชาสามารถทำได้ ทั้งนี้ ยังระบุว่า หลังจากนี้ตนคาดว่าจะมีพยานที่เคยกลัวในตอนแรก จะออกมาให้การในเหตุการณ์นี้อีกจำนวนมาก
ส่วนกรณีของ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า ดร.สุกิจ ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการติดต่อกัน เพราะตนไม่เหมือนบางคน ที่แอบส่งคนไปคุย ไปเคลียร์กันแบบลับๆ แล้ว ยอมรับว่าตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่ แต่ตนได้ข่าวว่าฟ้าไปบวช ตนก็ขออโหสิกรรมให้ เพราะตนก็ไม่ได้ติดใจแค้นอะไร พร้อมอนุโมทนาบุญด้วย