กรณี น.ส.กันย์ลภัส อายุ 51 ปี เจ้าของธุรกิจทำหลังคา พร้อมสามี เดินทางเข้าร้องเรียนที่สำนักงานทนายคู่ใจ ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กับนายรณณรงค์ แก้วเพชร์ ประธานเครื่อข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม
หลังจาก น.ส.กันย์ลภัส ตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพ อ้างตัวเป็นร่างทรง และหลอกลงทุนสูญเงินไปกว่า 42 ล้านบาท จึงนำเอกสารหลักฐานมามอบให้ช่วยเหลือ ดำเนินคดีกับกลุ่มร่างทรงดังกล่าว
ล่าสุดวันที่ 14 ธ.ค.63 น.ส.กัลย์ลภัส ผู้เสียหายที่ถูกหลอกสูญเงินกว่า 42 ล้านบาท ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนรู้จักกับคู่กรณี และตนมีความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่อเปิ่นอยู่ก่อนแล้ว จนน.ส.ศิริพร มีการติดต่อมาว่าหลวงพ่อเข้าร่าง และหลอกให้ตนช่วยทำทุนในการเลี้ยงปลา จำนวน 3 แสนบาท และต่อมายังอ้างว่าหลวงพ่อเปิ่นได้เข้าทรง และบอกให้ตนนำเงินให้ร่างทรงเพื่อให้ชาวนากู้อีกรายละ 3-4 หมื่นบาท คือ ตนเป็นนายทุน ผ่านร่างทรงที่เป็นคนกลาง
กระทั่งปลายปี 59 ตนได้เสนอให้ร่างทรงซื้อบ้านย่านหนองจอก เพราะตนจะได้เดินทางสะดวก ซึ่งตนออกเงินซื้อบ้านให้จำนวน 4.4 ล้านบาท ในชื่อของสามีร่างทรงตามคำอ้าวว่าหลวงพ่อเปิ่นเข้าทรงบอกไว้ เพราะอ้างว่าภายใน 3 เดือน จะคืนเงินทั้งหมดให้
จนเมื่อกลางปี 63 ที่ผ่านมา ได้ติดต่อขอเงินที่ลงทุนไปจำนวน 10 ล้านบาทคืน เพื่อนำเงินไปใช้หนีที่ตนกู้มา แต่ร่างทรงอ้างว่าคิดโควิด-19 ไม่สะดวก เพราะยังรักษาตัวอยู่ ตนได้พยายามตรวจสอบไปตามโรงพยาบาล แต่ไม่พบว่าร่างทรงเข้ารักษาจริง
สำหรับยอดเงินที่สูญเสียไป รวมความเสียหายทั้งหมด 42,000,000 บาท ดังต่อไปนี้
1.หลอกให้ซื้อบ้านราคากว่า 4,400,000 บาท
2.หลอกฝากขายที่ดินนักการเมืองท้องถิ่น 14,000,000
3.หลอกลงทุนซื้อที่ดิน 52 ไร่ (ทยอยจ่ายเงินไปแล้ว 5,000,000
4.หลอกลงทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ เสียหาย 8,000,000
5.หลอกให้ช่วยวิ่งเต้นศาล เสียหาย 1,000,000
6.หลอกเอาเงินไปวางศาลแพ่ง เสียหาย 1,000,000
7.หลอกเอาเงินไปลงทุนออนไลน์ เสียหาย 4800,000
น.ส.สาวกันย์ลภัส ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เคยบูชา หรือเลี้ยงรูปปั้นขี้ผึ้งอะไรตามที่เป็นข่าว แต่เป็นการแนะนำจากร่างทรงว่าเป็นความเชื่อให้เอาวิญญาณของลูกตนที่เคยแท้งไปมาอยู่ในหม้อดินที่มีการปิดไว้ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเรา และยังมีแผ่นไม้ 8 เหลี่ยม ที่ลงอักขระชื่อลูกสาวและชื่อของตนไว้ในแผ่นไม้ อ้างว่าเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต นอกจากนี้ยังตั้งศาลเจ้าที่ เนื่องจากปกติจะตั้งไว้หน้าบ้าน แต่ตั้งแต่นั้นมาแนะนำให้เคลื่อนย้ายศาลมาอีกด้านหนึ่ง
น้องน้ำ (นามสมมุติ) ลูกสาวของ น.ส.กันย์ลภัส ระบุว่า ตนเคยถูกแม่ฝากไว้กับร่างทรงเพื่อให้ช่วยเลี้ยงดู ตลอดระยะเวลาที่ถูกฝากเลี้ยงนานนับปี อยู่ในโรงงานเครื่องจักรที่แม่ลงทุนให้กับนางซิ้ม (ร่างทรง) ซึ่งมีห้องให้อยู่อย่างดี และตอนนั้นเข้าไปอยู่ช่วงเดือน ก.พ.63 ที่ผ่านมา โดยอยู่มา 8-9 เดือน ตลอดเวลาที่อยู่นางซิ้มก็จะอยู่ด้วย และจะบังคับให้โกหกทุกคนตลอด และเมื่อขัดใจ ก็จะทำร้ายร่างกาย
ทั้งใช้พัดลมฟาด เอาหวายฟาด ตัดผม กระทืบศีรษะ เหยียบบนหลังลงกับพื้น และอีกมากมาย จนร่างกายสาหัส แต่ไม่สามารถบอกแม่ได้ เพราะแม่มาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งนางซิ้มไม่ให้ใช้โทรศัพท์
นอกจากนี้ ตนยังถูกด่าทอสารพัด และบังคับให้ทำงานเหมือนคนงานใช้แรงงาน หากไม่ยอมทำตาม จะโดนทำร้ายร่างกาย และพูดว่าหากอยากชนะให้ไปฆ่าตัวตาย เพราะร่างทรงคนดังกล่าวจะหลอกเอาเงินจากผู้เป็นแม่ของตน ซึ่งตนพยายามจะติดต่อบอกแม่ แต่ถูกยึดโทรศัพท์ไว้ จนความโชคดีมาถึง คือมีขี้ยาจากที่ไหนไม่ทราบ มาวนเวียนอยู่แถวโรงงาน แม่ของตนมาเห็นเข้า รู้รู้สึกเป็นห่วงตน จึงรับตนไปอยู่บ้านกับแม่ จนภายหลังรู้ว่าแม่ถูกหลอก จึงตัดสินใจบอกเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตนถูกกระทำให้แม่ฟัง
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เข้าตรวจสอบบ้านของนางศิริพร ผู้กล่าวอ้างว่าเป็นร่างทรง ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ทางเจ้าหน้าที่ รปภ. ที่ดูแลหมู่บ้านไม่อนุญาตให้เข้า เนื่องจากเจ้าของบ้านได้สั่งห้ามไว้ว่า ไม่มีใครอยู่ภายในบ้าน และห้ามคนแปลกหน้าเข้ามาโดยเด็ดขาด
นายภราดร จันทร์แจ้ง 43 ปี ผู้เสียหายอีกราย เดินทางนำเอกสารเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.หนองจอก หลังได้รับการประสานจาก น.ส.กันย์ลภัส เจ้าของธุรกิจทำหลังคา เหยื่อที่ถูกหลอกสูญเงินกว่า 42 ล้านบาท
โดยนายภราดร ระบุว่า ตนรู้จักกับคู่กรณีผ่านทางพี่ชาย เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา กระทั่งปี 62 ได้รับการติดต่อมาจากคู่กรณีว่าเดือนร้อนธุรกิจโรงงาน ต้องการยืมเงิน จำนวน 3 แสนบาท ซึ่งตนใจอ่อน เพราะอีกฝ่ายโทรศัพท์มาและร้องไห้ จึงยอมใจโอนเงินให้ก้อนแรก ก่อนที่จะได้รับการติดต่อขอยืมอีก 3 แสนบาท และหายไป
โดยตนพยายามติดต่อทวงถามจนคู่กรณีอ้างว่า จะทำธุรกิจซื้อที่ดินมาแบ่งขายทำบ้านจัดสรร เพื่อหาเงินมาใช้หนีที่ยืมไป ต้องการอีก 3.5 แสนบาท ก่อนจะติดต่อมาขอยืมไปอีก 4 แสนบาท ซึ่งเหตุที่ตกลงให้ยืม 2 ครั้งเรื่องที่ดินเพราะทางคู่กรณีพาไปดูที่ดินทำให้หลงเชื่อ แต่เมื่อให้เงินไป กลับเงียบหาย และไม่ได้รับการชดใช้เงินที่ยืมไปนานนับปี
ทั้งนี้ตนจึงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับที่ดิน จึงได้เดินทางไปสอบถามเจ้าของที่ดินตัวจริง จึงทราบว่าที่ดินไม่เคยมีการประกาศขายแต่อย่างใด จึงได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความกับ สน.หนองจอก แต่ครั้งนั้นพนักงานสอบสวนได้ให้เพียงลงบันทึกประจำวันไว้ เพราะยังขาดเอกสาร ในวันนี้เมื่อได้รับการประสานจาก น.ส.กันย์ลภัส จึงเดินทางเข้ามาแจ้งความอีกครั้ง ซึ่งโดนหลอกไปทั้งหมด 1,350,000 บาท
ทีมข่าวทดสอบ ใช้ไม้ไผ่ความสูงประมาณ 2 เมตร 50 ซม. เป็นอุปกรณ์เพิ่มความสูง เพื่อจำลองเป็นผีเปรต โดยทีมข่าวได้ใช้ไม้ไผ่ ปังต่อ เจาะให้เป็นรู ใช้ไม้ไผ่ขนาดเล็กเสียบเข้าไป เพื่อทำเป็นพื้นเหยียบ ด้วยความสูงจากพื้นถึงจุดที่เพิ่มความสูง วัดระดับได้ที่ 1 เมตร จากนั้นทีมข่าวได้ใช้ผ้าสีกรมท่า กลุ่มเพื่อปิดบังความสูงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังผ้า เพื่อให้ไม่รู้ว่ามีการเพิ่มความสูงด้วยไม่ไผ่ดัดแปลง
ทีมข่าวยังได้ทดสอบไปยืนอยู่บริเวณหน้ารถ เพื่อจำลองมุมสายตา พบว่าสูงกว่าหลังคารถไปกว่า 1 เมตร 50 เซนติเมตร ซึ่งหากขับรถมาระยะใกล้ หรือไกล จะมองเห็นเด่นชัดอยู่กลางถนน เพราะหลังจากที่มีการต่อตัวด้วยไม้ไผ่แล้ว จะทำให้เกิดลักษณะตัวหยุดสูง มองเห็นได้ง่าย
จากนั้น ทีมข่าวยังได้ทดสอบก้าวข้ามรถ ตามที่ร่างทรงกล่าวอ้าง โดยพบว่า แม้ความสูงจากพื้นจะสูงถึง 1 เมตร 50 เซนติเมตร แต่ลักษณะการเดินด้วยไม้ไผ่ ค่อนข้างที่จะเดินยากลำบาก เนื่องจากเกิดจากการส่งตัว จึงก้าวได้ครั้งละประมาณ 90 เซนติเมตร - 1 เมตรเท่านั้น ด้วยความกว้างของรถมีประมาณ 2 เมตร 45 เซนติเมตร ทำให้ลักษณะการก้าวข้ามรถ จึงไม่สามารถก้าวข้ามได้เพียงครั้งเดียว ยกเว้นจะมีการต่อไม้ไผ่ที่สูงขึ้น จึงจะสามารถก้าวข้ามได้เพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวยังได้ทดสอบไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ พื้นที่มืด ซึ่งมองจากลักษณะมุมไกล หากคนที่ผ่านไปมาพบเห็น ก็จะมองได้ชัดเจน หากมีแสงไฟสะท้อน จะมีลักษณะเหมือนเงาและตัวคนสูง ยืนอยู่บริเวณใต้ต้นไม้
ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านญาติของ น.ส.ศิริพร ในพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา พูดคุยกับน.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 20 ปี น้องสาวน.ส.ศิริพร กล่าวว่า พี่สาวไม่ได้เป็นร่างทรงตามที่มีข่าวออกมา รวมถึงพี่สาวไม่ได้เชื่อหรือหมกหมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ที่ผ่านมาพี่สาวชอบไหว้พระ แต่ส่วนใหญ่จะไปวัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ไม่ทราบว่าเคยไปวัดบางพระ หรือวัดหลวงพ่อเปิ่นหรือไม่ นอกจากนี้พี่สาวไม่ได้กินหมาก ไม่มีทางที่จะมีกลิ่นหมากพลูออกมาจากตัวพี่สาวตนแน่นอน
ทั้งนี้พี่สาวตนไม่ได้หลอกตุ๋นเงินจากฝ่ายคู่กรณีอย่างแน่นอน เพราะเงินจำนวนมากถึง 42 ล้านบาท ไม่น่าจะหลอกมาได้ง่าย ๆ ตนทราบว่าฝ่ายคู่กรณีรู้จักนับถือกับพี่สาว และเคยไปมาหาสู่กันก่อนหน้านี้ แต่ไม่มั่นใจว่ามีปัญหากันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวออกมาพี่สาวก็โทรศัพท์มาคุยกับพ่อแม่ ตนคิดว่าพี่สาวน่าจะเครียด แต่ตนเชื่อว่าพี่สาวเป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นคนธรรมดาที่ทำมาหากินด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาพี่สาวตนถูกหวยหลายรอบ ค่อนข้างดวงดี เชื่อว่าไม่จำเป็นต้องหลอกเงินใคร
พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เปิดเผยว่า ตามหลักพระพุทธศาสนา ผีเปรตมีอยู่จริง แต่ในกรณีคนที่ถูกหลอกเงิน 42 ล้านบาทเห็นผีเปรตนั้น อาตมามองว่ากรณีนี้อย่าเพิ่งเชื่อว่าผีเปรตที่เห็นเป็นของจริง เพราะอาจจะเป็นเปรตที่อุปโลกน์ขึ้นมาจากร่างทรง เพราะร่างทรงก็คงจะมีเทคนิค หรือไม่วิชามารที่จะอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหากินได้ บางแห่งมีการทำเป็นบริษัท มีทีมงานบริหารจัดการสร้างเปรตขึ้นมาเพื่อลวงโลก และทำให้เหยื่อหลงเชื่อ
เรื่องที่จะทำให้เหยื่อเชื่อได้ง่ายที่สุด คือ เรื่องลี้ลับ เพราะคนไทยชอบเรื่องแบบนี้ อะไรที่ปรากฏขึ้นมาเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ คนไทยก็จะเชื่อไปหมด ทำให้สบโอกาสของร่างทรงที่จะมาหลอก และทำให้เหยื่อเชื่อหนักขึ้นจนเสียเงินไปเป็นหลักสิบล้าน และอาตมามองว่าเรื่องนี้อาจจะมีตำรวจเกี่ยวข้อง เพราะมีตำรวจเป็นคนพาเหยื่อไปพบร่างทรงเอง ซึ่งน่าเสียดายเงินที่เสียไป เพราะหาเงินมาเป็น 10 ปี และอาตมาเชื่อว่าอาจจะมีร่างทรงที่ไม่ประสงค์ดี หากินด้วยวิธีนี้มากขึ้น ๆ
อย่างไรก็ตาม อาตมามองว่า ถ้าคนไทยเชื่องมงายไร้เหตุผล ก็คงจะต้องตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเป็นบทเรียนให้สังคมไทยว่า อย่าเชื่อร่างทรงที่เรียกเงินเรียกทอง