จากกรณีเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 63 เมื่อช่วงบ่าย พ.ต.อ.สุวิทย์ ห่วงทอง ผกก.สภ.แม่กา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่กาก็ เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยในพื้นที่อำเภอดอยเต่าจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจสอบผู้เสียชีวิต ถูกฆาตกรรมยัดใส่ถัง นำไปวางไว้ในเตาเมรุเผาศพเพื่อเตรียมเผา ภายในบริเวณสุสานบ้านสันบ่อเย็น หมู่ 2 บ้านสันบ่อเย็น ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่
พบถังพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยากำจัดวัชรพืชขนาด 200 ลิตร วางอยู่บริเวเมรุภายในสุสาน พบร่างนางอาคร สมคำ อายุ 59 ปี สภาพอยู่ในถังน้ำพลาสติก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบพบโทรศัพท์มือถือ เงินสด 200 บาท และของใช้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบ้านผู้ตาย นำญาติทั้งหมดสอบปากคำ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ฆ่าโหดสาวใหญ่ซุกถังซ่อนในเมรุ ญาติช็อกเจอศพเพราะโทรเข้า ล็อกคนสนิทสอบเข้ม (คลิป)
วันที่ 25 ธ.ค. 63 เวลา 14.20 น. ที่โรงพัก สภ.แม่กา อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผบก.สส.ภ.5 พร้อมชุดสืบสวนภาค 5 แถลงความคืบหน้าหลังลงพื้นที่สืบข้อเท็จจริงทางคดี ระบุว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่กา นำตัวนายธานิน ใหม่ปลา หลานชายของนางอาคร ผู้ตาย มาทำการสอบสวนปากคำ
นายธานิน หรือ โสด ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่านางอาคร สาเหตุเนื่องจากตนติดยาเสพติดอย่างหนัก เคยเข้าออกคุกมาแล้ว 4 ครั้ง วันเกิดเหตุได้เสพยาจนเกิดอาการหลอน เห็นคนจะมาทำร้าย จึงเดินออกจากบ้านมาที่บ้านนางอาคร ซึ่งอยู่ติดกัน ก็เห็นนางอาครอยู่บ้าน แต่มองเห็นเป็นคนอื่นจะเข้ามาทำร้าย จึงจับล็อกคอและต่อยที่หน้าจนแน่นิ่งและเสียชีวิต ด้วยความกลัวจึงลากศพใส่รถเข็นนำไปยัดใส่ถัง ก่อนนำไปที่เมรุเพื่อหวังเผาอำพรางคดี
โดยเบื้องต้น ผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพว่าได้ลงมือฆ่าและอำพรางศพเอง เนื่องจากเสพยาเสพติดเป็นจำนวนมากจนเกิดอาการหลอน เห็นภาพผู้ตายไม่ใช่น้าของตัวเอง โดยรับว่าทำเพียงคนเดียว โดยเจา้หน้าที่จะสอบสวนเพิ่มเข้าไปอีก ถึงประเด็นอื่น ๆ และจะขอหมายจับเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา
ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ป่าช้า หรือสุสาน บ้านสันบ่อเย็น หมู่ 2 ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่พบศพนางอาคร ชาวบ้านได้เข้ามาทำความสะอาด และตัดหญ้าที่รกทึบออก เนื่องจากเตรียมใช้เป็นสถานที่ในการฌาปนกิจศพ
นายอำนวย ไชยวงค์ อายุ 52 ปี สารวัตรกำนัน ต.บ้านโปงทุ่ง ทีมที่ออกค้นหาผู้ตาย พาทีมข่าวสำรวจเตาเผาบนเมรุ พบว่าลักษณะประตูของเตาเผา ไม่ได้มีกุญแจปิดล็อกอย่างแน่นหนา เป็นลูกบิดแบบน็อต 4 ตัว หากคลายน็อตได้ก็สามารถเปิดประตูเตาเผาได้
ส่วนเตาเผาที่อยู่บนรางเลื่อนซึ่งทำมาจากเหล็กทั้งชิ้น น้ำหนักมากกว่า 80 กิโลกรัม ทำให้ค่อนข้างที่จะดึงเข้า-ออกยากพอสมควร โดยปกติเวลาเผาศพหรือใช้งานจริง ต้องใช้ชาวบ้าน 3-4 คน ช่วยกันดึกแท่นเหล็ก ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากคนร้ายก่อเหตุเพียงลำพังจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร อาจมีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจมีมากกว่า 1 คน
ทั้งนี้ พิรุธที่ตนเองจับความผิดปกติบริเวณเมรุเผาศพ สังเกตว่าในวันที่ 24 ธ.ค. 63 ช่วงที่ออกค้นหานางอาคร พบกองเปลือกหอมหัวแดงกระจายอยู่บริเวณทางขึ้นเมรุ และหน้าเตาเผา ตนก็นึกเอะใจว่ามาตกอยู่บริเวณที่ดังกล่าวได้อย่างไร จนกระทั่งมีการเปิดพบร่างของนางอาครถูกซุกอยู่ในเตาเผา ตนจึงนึกขึ้นได้ว่าเศษหอมหัวแดงเกี่ยวข้องกับบุคคลที่นำศพมาอำพรางอย่างแน่นอน และคนที่มีการแกะหอมขาย ก็คือคนในครอบครัวของนางอาคร
นายดนัย ใหม่ปลา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านสันบ่อเย็น เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนเองรับแจ้งว่านางอาครหายตัวไป เช้าวันที่ 24 ธ.ค. ได้พากันระดมชาวบ้าน ออกค้นหาตั้งแต่เวลา 08.00 น. ซึ่งได้มีการค้นหาตามความเชื่อ หลังจากญาติของนางอาครได้ไปพึ่งร่างทรง โดยร่างทรงระบุว่าให้เดินค้นหาไปในทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ทีมค้นหาออกสำรวจเริ่มต้นจากจุดที่คนตายไปตกปลากับญาติ เดินลัดเลาะไปที่ศาลผีปู่ย่าประจำหมู่บ้าน เดินไปค้นหาที่สวนลำไยของผู้ตาย จนกระทั่งช่วงบ่าย 3-4 โมง ได้พากันเดินย้อนกลับมา เพื่อจะกลับไปที่บ้านของคนตาย
ในจังหวะนั้น มีญาติของนางอาครพยายามกดโทรศัพท์หาผู้ตายช่วงที่เดินผ่านหน้าเมรุ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังมาจากข้างในเตาเผา ตนเองจึงห้ชาวบ้านช่วยกันเปิดประตูเตาเผา พบรองเท้าของผู้ตายวางอยู่ มีถังพลาสติกสีน้ำเงินตั้งอยู่ด้านใน จึงได้เข้าใจว่านางอาคร เสียชีวิตแล้ว
สำหรับผู้ต้องสงสัย คือนายศักดิ์ ปุดนะ น้องชายคนตาย และนายธานิน ใหม่ปลา หรือ โสด หลานสาวของคนตาย ตอนนี้ตนเองยังไม่ทราบความคืบหน้าว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนการตรวจสอบ และหาหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนยืนยันว่าหลังจากที่นางอาครหายตัวไป ชาวบ้านทุกคนร่วมกันออกตามหาตนเองไม่เจอนายโสดอยู่ในพื้นที่ แต่นายศักดิ์ ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านตามปกติ เพียงไม่ได้ออกมาช่วยกันค้นหาเท่านั้น
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของนางอาคร ญาติได้ดำเนินการติดต่อขอรับศพที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ เนื่องจากส่งตรวจชันสูตรพลิกศพ โดยหลังจากรับศพกลับมาได้แล้ว จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านสันบ่อเย็น ไม่นำศพกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน เนื่องจากคนเฒ่าคนแก่เชื่อกันว่า คนตายอยู่ในเมรุแล้ว จะเอากลับเข้าบ้านไม่ได้ ต้องเอาไปไว้วัดเท่านั้น
นางธรรม ปุดนะ อายุ 84 ปี แม่ของนางอาคร ซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานความดัน หูตาฝ้ามัว ต้องอยู่ในการดูแลของญาติพี่น้องอย่างใกล้ชิด ประกอบกับมีอาการหลงลืม ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าลูกสาวตายไปแล้ว ยังคงมีบางช่วงที่เรียกหาลูก ถามหาว่าทำไมไม่มาป้อนข้าวให้แม่
นางสาววนิดา อุปการะ หรือ ฝ้าย อายุ 27 ปี ลูกสาวของนางอาคร เปิดเผยว่า ตนเองอาศัยอยู่คนละที่กับแม่ แต่จะแวะมาเยี่ยมเป็นบางครั้ง เพราะตนเองทำงานอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ทุกครั้งที่ได้เจอแม่หรือได้โทรศัพท์พูดคุยกัน แม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปมีเรื่องหรือทะเลาะกับใคร
โดยนิสัยของแม่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่ไปมีเรื่องราวกับใคร เพราะไม่ใช่คนหัวร้อนหรือใช้อารมณ์ ดังนั้นจึงไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงถูกฆ่าตาย แต่ส่วนประเด็นเรื่องปมชู้สาว ส่วนตัวยืนยันว่าหลังจากที่แยกทางกับพ่อ แม่ก็ไม่ได้มีชายอื่น หรือคบหากับใคร ยังคงดูแลยายและดูแลสวนตามปกติ ส่วนตัวรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนคนก่อเหตุตนเองก็จะไม่ให้อภัย และจะไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวอีก เพราะการก่อเหตุรุนแรงเกินไป ที่ลากศพผ่านป่าไปยัดถังอย่างโหดเหี้ยมได้
นางสาวอารีย์ ปุดนะ อายุ 55 ปี เปิดเผยว่า สาเหตุที่นางอาครหายตัวไปแล้วพบเป็นศพเป็นคนใกล้ตัว เพราะเนื่องจากถังพลาสติก ซึ่งเป็นถังพ่นยาฆ่าหญ้าใช้สำหรับพืชทางการเกษตร เดิมเคยเก็บเอาไว้ในโรงรถ 3 ถัง ล่าสุดตรวจสอบแล้วเหลือเพียง 2 ถัง จึงเชื่อว่าคนที่ก่อเหตุต้องเป็นคนในครอบครัว
สำหรับนายศักดิ์ เป็นคนใกล้ชิด เป็นคนเข้านอกออกในบ้านของนางอาคร ส่วนใหญ่ก็จะกินนอนอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ ดังนั้นหลังจากที่นางอาคร พี่สาวกลายเป็นศพ ก็ต้องมีส่วนรู้เห็น อีกครั้งนายศักดิ์ เป็นคนที่คล้ายกับสติไม่ดี จึงไม่รู้ว่าโดยนิสัยปกติของนายศักดิ์แล้ว จะมีส่วนมากน้อยแค่ไหน ประกอบกับนายศักดิ์เป็นลูกคนสุดท้ายของบ้าน ซึ่งมีสิทธิ์จะได้รับมรดกส่วนแบ่งที่ดินจากแม่ และตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อนที่พ่อจะตาย คนที่ช่วยกันดูแลแม่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากมรดกที่ดินดังกล่าวประมาณ 3 ไร่ (ที่นา 1.5 ไร่, สวนลำไย 1.5 ไร่) ดังนั้น ด้วยสถานะของลูกคนสุดท้องของบ้านและนางอาครที่เป็นคนดูแลแม่มาโดยตลอด จึงต้องมีการแบ่งที่ดินส่วนดังกล่าวร่วมกัน
ขณะที่นายธานิน หรือ โสด หลานชาย เป็นลูกของนายเหรียญ หรือ นายประพัฒน์ ใหม่ปลา อายุ 62 ปี เพิ่งจะย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวได้ไม่ถึง 6 เดือน เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องไปติดคุกในข้อหายาเสพติด และปัจจุบันทราบว่ายังคงใช้ยาเสพติดอยู่เป็นระยะ
นายประพัฒน์ ใหม่ปลา หรือ เหรียญ พ่อของนายธานิน เปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกแย่กับพฤติกรรมของลูกชาย แต่ก็รู้สึกดีที่ลูกชายยังกล้ารับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุ ดังนั้นก็ให้ว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย หลังจากนี้ไม่ต้องมานับถือความเป็นญาติ ไม่ต้องกลับเข้ามาเหยียบที่บ้าน เพราะตนเองก็รู้สึกเสียใจ ไม่อยากให้อภัย และจะไม่มีวันประกันตัว ที่สำคัญหากตนเองเดินทางไปโรงพัก หรือเจอหน้าลูกชายจะขอตอกหน้าสั่งสอน ตนเองไม่คิดว่าหลานจะฆ่าน้าตัวเองได้ลงคอ
สำหรับเหตุผล ที่ทำให้นายธานิน ลูกชาย ก่อเหตุ เป็นเพราะอาการเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ที่เคยมีประวัติเข้าออกคุกมาโดยตลอด อย่างเช่นล่าสุด ก็เพิ่งติดคุกนานกว่า 2 ปี เพิ่งจะพ้นโทษมาได้เพียง 5 เดือน ตนเองให้โอกาสให้เข้ามาอยู่กับครอบครัว มาช่วยดูแลยาย ต่ก็ไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุสลดขึ้น
และหากย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 15 ปี ลูกชายก็เคยติดคุกในข้อหาพยายามข่มขืนผู้อื่น จนกระทั่งมีการบีบรัดคอผู้หญิงถึงแก่ความตาย เข้าไปอยู่ในคุกประมาณ 6 ปี แต่ก็ไม่คิดว่าความผิดพลาดในครั้งนั้นจะกลายมาเป็นฆ่าคนใกล้ชิดตายอีก 1 ศพ