จากกรณีที่แม่ของเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี ว่า ลูกสาวถูกแก๊งเก็บเงินกู้นอกระบบล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่แม่เด็กออกไปทำงานนั้น ซึ่งเหตุกาณ์ดังกล่าวกำลังเป็น กระแสข่าวโด่งดังอยู่ในขณะนี้
“นายปลื้ม” ผู้ต้องหาข่มขืนเด็กอายุ 14 ปี และถูกกล่าวหาว่าเป็นแก๊งปล่อยเงินกู้ ได้ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรก
วันนี้ ( 26 เม.ย. 61 )
“รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ
นายกีรติ คำมี หรือ “ปลื้ม” ผู้ต้องหาข่มขืนเด็กอายุ 14 ปี และถูกกล่าวหาว่าเป็นแก๊งปล่อยเงินกู้ พร้อม
นายพนา คำมี ผู้เป็นพ่อ,
ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม, และ
นางน้อย แม่ของเด็กผู้เสียหาย
ร่วมพูดคุยในรายการ
นายปลื้ม ยอมรับว่าสาเหตุที่ตนมาออกรายการในวันนี้ เพราะต้องการที่ออกมาเปิดเผยความจริง ก่อนที่ตนจะได้รับโทษ เพราะไม่อยากให้สังคมเข้าใจตนผิด ยอมรับว่าตนปล่อยเงินกู้จริงเนื่องจากช่วงนี้ตนไม่ได้ทำงาน และไม่มีรายได้ เห็นว่าการปล่อยเงินกู้นั้นจะทำให้เกิดรายได้ขึ้นมา เพื่อนำดอกเบี้ยที่เก็บได้มาเป็นค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว จึงได้ยืมเงินพ่อมาปล่อยเงินกู้ โดยตนส่งเงินต้นคืนพ่อทุกเดือน ยืนยันว่าไม่เคยใช้ความรุนแรงกับลูกหนี้แต่อย่างใด และที่กล่าวหาว่าตนเป็นมาเฟียในพื้นที่นั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ยอมรับว่าตนปล่อยเงินกู้ให้กับครอบครัวผู้เสียหายจริง จำนวน 1 หมื่นบาท โดยเงิน 5 พันบาท ตนจะเก็บดอกเบี้ย 100 บาท
ในวันเกิดเหตุ (5 เม.ย.) ยืนยันว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับผู้เสียหาย เพราะถ้าตนใช้ความรุนแรงกับ ด.ญ.เอ จริง เหตุใดจึงไม่โวยวายและร้องขอความช่วยเหลือ เพราะละแวกนั้นเป็นชุมชนที่มีบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ติดกันหลายหลัง และยังอยู่ไกล้กับตลาด ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุตนและ ด.ญ.เอ เคยมีการพูดคุยและติดต่อกันมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยกันทางเฟซบุ๊ก
ด้าน
นายพนา เปิดเผยว่า ยืนยันว่าลูกตนไม่ได้มีพฤติกรรมไปล็อกตัวผู้เสียหาย มาข่มขืน ตามที่มีกระแสข่าวออกมา เพราะลูกตนไม่ใช่คนแบบนั้น และไม่ทราบมาก่อนว่านายปลื้มนำเงินที่ยืมไปจากตนมาปล่อยเงินกู้
นายพนา เล่าพร้อมกับน้ำตาคลอว่า ตนรู้สึกเสียใจที่ฝ่ายหญิงไม่เอาความจริงมาพูด ตนไม่ได้ดูถูกฝ่ายหญิงแต่อยากบอกว่า แฟนลูกตนทุกคนล้วนหน้าตาดีแต่ทำไมถึงต้องมาพลาดท่าทำสิ่งนี้กับ ด.ญ.เอ ยอมรับว่าลูกชายตัวเองผิด แต่ยืนยันว่าลูกตนไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ถูกฝ่ายหญิงกล่าวหา
ในฐานะคนเป็นพ่อ ตนเข้าใจหัวอกคนที่เป็นแม่ แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกตนถูกสังคมประณาม จึงได้ไปพูดคุยกับแม่ของผู้เสียหาย และตนไม่ทราบมาก่อนว่าฝ่ายหญิงมีอายุเพียง 14 ปี ทั้งนี้ได้มีการเจรจากันโดยฝ่ายหญิงได้มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ตนไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดการเจรจาในวันดังกล่าว ซึ่งในวันนั้นตนได้อยู่ที่โรงพักจนดึก แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้
ขณะเดียวกัน
ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า ในกรณีนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะโดยพฤติการณ์ของคดีนั้น อาจจะเป็นความผิดในเรื่องของการกระทำชำเราเด็กจริง แต่ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นการสมยอมหรือข่มขืน หากเป็นการข่มขืน ก็อาจจะมีการตัดสินลงโทษสถานหนัก อาจจะถึง 20 ปีก็มีความเป็นไปได้ ตามอัตราโทษตามมาตรา 277
แต่หากฟังได้ว่าไม่ได้เป็นการข่มขืน หรือเคยมีการคบหากันมาก่อน ก่อนที่จะมามีเพศสัมพันธ์กัน แต่ต่อมาภายหลังอาจจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยินยอม ก็อาจจะมีการลงโทษเบาลงตามพฤติกรรมในคดี อย่างไรก็ตามผู้ก่อเหตุยังคงมีความผิด ในคดีที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเฉพาะกับเด็กที่อายุยังไม่ถึง 15 ปี ถือว่าเป็นโทษสถานหนักไม่ว่าเด็กจะสมยอมหรือไม่ก็ถือว่าเป็นความผิด
ส่วนที่มีคำถามว่าหากแต่งงานกัน จะเป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้หรือไม่นั้น ในกฎหมายมีอยู่มาตราหนึ่งที่เขียนไว้ว่า หากผู้ชายอายุไม่เกิน 18 ปี อาจจะแต่งกับเด็กหญิงได้หากฝ่ายหญิงอายุเกิน 13 ปี แต่ในกรณีนี้ฝ่ายชายมีอายุ 20 ปีแล้ว จะใช้สิทธิ์ในส่วนนี้ไม่ได้
ในส่วนคดีที่เกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้นอกระบบนั้น ตนเห็นว่าส่วนใหญ่คนที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบ เมื่อโดนจับแล้วมักจะมีการตัดตอนตัวเองว่าไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งเงินกู้ ซึ่งตนยังมีความสงสัยในส่วนนี้กรณีของนายปลื้ม
ด้าน
นางน้อย แม่เด็กผู้เสียหาย เปิดเผยว่า
ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากันจริง โดยพ่อของนายปลื้มได้ยื่นข้อเสนอให้กับตน ช่วงที่มีการพูดคุยกันที่บ้านเป็นเงิน 3 หมื่นบาท แต่ตนไม่รับ และเมื่อไปเจรจากันที่โรงพักก็ได้มีการเสนอเพิ่มเงินให้ตนเพิ่มอีกเป็น 5 หมื่นบาท เพื่อให้ยอมความซึ่งตนได้ปฎิเสธไป ซึ่งตนได้บอกไปว่าเรื่องนี้ไม่สามารถยอมความกันได้เนื่องจากเป็นคดีอาญา
ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวอ้างว่า ครอบครัวตนเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินหลักล้านนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และที่นายปลื้มพูดในไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กนั้น ตนอยากถามว่าไปเอามาจากไหน เห็นตัวเงินกันหรือยังจึงได้ออกมาพูดให้ครอบครัวตนได้รับความเสียหาย ยืนยันว่าลูกสาวตนและนายปลื้มไม่ได้มีความชอบพอกันตามที่มีการกล่าวอ้าง เพียงรู้จักกันตอนที่มาเก็บเงินกู้เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตนไม่ทราบมาก่อนว่านายปลื้มกับลูกสาวตนนั้น เคยพูดคุยหรือติดต่อกันมาก่อน ตนมารู้ตอนที่นายปลื้มมาเก็บเงินกู้เท่านั้น เพราะช่วงที่นายปลื้มมาเก็บเงินกู้นั้น ตนจะอยู่ที่บ้านตลอด อยากถามว่าตนเป็นหนี้นายปลื้มเพียง 1 หมื่นบาท จะมีแม่คนไหนที่ยอมเอาลูกตัวเองไปนอนกับคนปล่อยเงินกู้เพื่อขัดดอก ถ้ามีจริงก็ถือว่าเป็นคนที่เลวมาก