ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่มีเงื่อนงำบนภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ล่าสุด วันที่ 8 ม.ค. 64 ตำรวจได้เชิญตัว "ลุงพล" หรือ นายไชย์พล วิภา และ "ป้าแต๋น" หรือ นางสมพร หลาบโพธิ์ มาที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 จ.ปทุมธานี เพื่อเข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจได้เชิญครอบครัวและคนใกล้ชิดของน้องชมพู่เข้าเครื่องจับเท็จแล้วนั้น
วันที่ 9 ม.ค. 64 เมื่อเวลา 10.00 น. หลังจากที่ลุงพลและป้าแต๋นกลับมาที่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กกตูม ได้เดินทางมาที่บ้าน เพื่อนำหนังสือเชิญน้องโอม กับน้องน้ำมนต์ ลูกชายของลุงพล
ตำรวจระบุว่า เพื่อเป็นประโยชน์ในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนมีความประสงค์ขอเก็บวัตถุพยานของเด็กทั้ง 2 คน ในเวลา 10.00 น. ของวันพรุ่งนี้ ที่ สภ.กกตูม
อ่านข่าวที่เกี่ยข้อง
- “ลุงพล” โล่งอก 5 ชม.ถูกจับเท็จ อุบตอบคำถามเค้นพิรุธ ครอบครัวชมพู่หวังมีหมายจับ
นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตำรวจก็ต้องทำงานให้ครบถ้วนอย่างรอบด้าน ส่วนตัวไม่ได้กังวลใด ๆ เเละพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ส่วนโอมกับน้ำมนต์ก็คงตอบตำรวจไปตามข้อเท็จจริง ตามความรู้สึกของเด็ก ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
ส่วนกรณีไปเข้าเครื่องจับเท็จ ตนรู้สึกสบายใจขึ้น แต่มองว่าหากตำรวจนำเครื่องจับเท็จมาใช้ตั้งเเต่ตอนเกิดเรื่องใหม่ ๆ คนร้ายก็อาจมีพิรุธบ้าง "หากตีเหล็กตอนร้อน ๆ หลายอย่างอาจดีขึ้น แต่ขณะนี้เวลาล่วงเลยมานานเเล้ว อาจจะคาดหวังไม่ได้มาก แต่ก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของตำรวจ ซึ่งต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน เพราะการหาตัวคนร้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย"
จากนั้นลุงพลได้เดินดูการก่อสร้างรูปปั้นองค์พญานาค "พ่อปู่ปาริจิตนาคราช" บริเวณข้างบ้าน ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปกว่า 30% เริ่มมีการปั้นเกล็ดแล้ว คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์
นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าเเต๋น เปิดเผยว่า การเข้าเครื่องจับเท็จตนไม่ได้กังวล เพราะญาติพี่น้องหลายคนก็เข้าเครื่องดังกล่าวเหมือนกัน
กรณีตำรวจส่งหนังสือเชิญน้องโอมกับน้ำมนต์ไปเก็บวัตถุพยานก็ไม่กังวล เพราะเด็กก็คงตอบคำถามตามความรู้สึกและข้อเท็จจริงที่เขาได้เห็น สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจคือมีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่ามีเจ้าหน้าที่บางคนที่เข้ามาสืบคดีชมพู่ ได้ไปพูดกับชาวบ้านบางคนในพื้นที่ในทำนองว่า "จับเเน่ลุงพล อีกไม่นานหรอก"
ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ เจ้าหน้าที่ไม่ควรพูดเป่าหูชาวบ้านเเบบนี้ ตราบใดที่คดียังไม่ชัดเจน หรือยังไม่หลักฐานชี้ชัดว่าใครเป็นคนทำ ก็ไม่ควรกล่าวหาลอย ๆ ตนรู้สึกแย่มาก ทำให้เกิดความไว้ใจตำรวจน้อยลง ดังนั้นจึงฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ "หากจะทำอะไร จะจับใคร ก็เก็บไว้เป็นความลับ ไม่ต้องพูดให้เสียความรู้สึก"
บรรยากาศที่บ้านลุงพล พบว่ามีผู้ใหญ่บ้าน อสม. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกกตูม มารอตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อวัดไข้ลุงพลกับป้าเเต๋น หลังจากเดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีการเเพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยผู้ใหญ่นิ่ม หรือ นายนิ่ม เงินนาม ผู้ใหญ่บ้านกกกอก บอกว่าเนื่องจากลุงพลกับป้าแต๋นเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตนพร้อมด้วย อสม. เเละเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกกตูม จึงต้องมาทำการวัดอุณหภูมิ เเละให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว โดยเฉพาะก่อนออกจากบ้าน ต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
ผู้ใหญ่นิ่ม กล่าวว่า ตอนนี้ชาวบ้านกกกอกเริ่มใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถไปไร่ไปนาได้ บางส่วนก็อาจผันตัวเองเป็นยูทูเบอร์ บางส่วนก็ขายของออนไลน์ ทำให้วิถีชีวิตชาวบ้านดีขึ้น สิ่งเดียวที่ชาวบ้านยังกังวลคือเรื่องคดี ดังนั้นการที่ตำรวจเชิญตัวบุคคลในครอบครัวน้องชมพู่รวมถึงลุงพลกับป้าแต๋นไปเข้าเครื่องจับเท็จ แสดงให้เห็นว่าตำรวจยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีเมื่อวานนี้ มีภาพปรากฏกลุ่มยูทูเบอร์เฝ้าสังเกตรถตำรวจที่รับส่งลุงพลกับป้าแต๋น ตำรวจมีการนำตัวลุงพลขึ้นรถตู้ ลักษณะจะพากลับไปส่งบ้าน กลุ่มยูทูเบอร์ได้พยายามเข้าไปขอถ่ายคลิปพูดคุยกับลุงพล โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่นั้น
นายธนากร ทนันไธสง ยูทูเบอร์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่นำตัวลุงพลมาแถลงข่าวก่อน หลังจากออกจากการเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว เพราะในฐานะสื่อมวลชนก็อยากทราบข่าว ตนไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการนำลุงพลออกประตูด้านหลัง จึงได้ไปถามทางเจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปไหน ทั้งนี้ ตนไม่กลัวว่าจะถูกดำเนินคดีขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพราะว่าลุงพลไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ไม่ได้มีการขู่เจ้าหน้าที่พนักงาน และตนก็ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างถูกต้อง ไม่ได้พูดจามีคำหยาบ
ตนเพียงแค่สงสัยว่าจะพาตัวลุงพลไป ไม่บอกทั้งยูทูเบอร์และนักข่าว ไม่พาออกด้านหน้า แต่กลับออกด้านหลัง ก็เป็นที่น่าสงสัย พวกตนห่วงลุงพลก็เลยกังวลว่าจะนำตัวลุงพลไปสอบสวนต่อ หากเจ้าหน้าที่บอกสักนิดและรู้ก่อนก็คงไม่ทำแบบนั้น ซึ่งหากจะมีการฟ้องเรื่องขัดขวางการทำงาน ตนมองว่าคงไม่ถึงขั้นนั้น
ทั้นี้ มีการสอบถามตำรวจได้รับคำตอบว่าจะพาลุงพลกลับที่พักเดิม จะพาไปส่งเอง ตนจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ต่อว่า ทำไมไม่ให้ลุงพลกลับเอง เพราะเอารถมาเอง ส่วนตัวขอพูดตรง ๆ ว่าเจ้าหน้าที่ทำไมทำแบบลับ ๆ ล่อ ๆ ดูมีลับลมคมใน ทำไมไม่แถลงข่าวตรง ๆ หรือบอกว่าจะไปส่งลุงพลเองตั้งแต่แรก ซึ่งหลังจากที่ลุงพลป้าแต๋นลงจากรถตู้ ตนก็รู้สึกโล่งใจ เพราะตอนนั้นเริ่มมีสื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวกันจำนวนมาก
นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวยูทูเบอร์ไปขัดขวางรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการพาลุงพลป้าแต๋นไปส่งที่พัก หรือแม้แต่พาไปสอบเพิ่มเติม เหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินคดีได้ ในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ มีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท แต่ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นความผิดโดยตรง ศาลจะเป็นผู้พิจารณาและตีความ ถ้าหากกลุ่มยูทูเบอร์ถูกแจ้งความดำเนินคดี ก็ยังสามารถอ้างได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ในการควบคุม และทำการตรวจผ่านเครื่องจับเท็จตามช่วงเวลาที่กำหนด นอกช่วงเวลานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีหน้าที่ที่จะอำนวยความสะดวกหรือไปรับไปส่งลุงพลป้าแต๋น
ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาลุงพลขึ้นรถไม่ได้เรียกว่าเป็นการควบคุมตัว แต่เป็นเพียงแค่การอำนวยความสะดวกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในฐานะทีมทนายความของลุงพล มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังจากที่พาเข้าเครื่องจับเท็จเสร็จ ก็ควรจะปล่อยให้ลุงพลออกมาแถลงต่อสื่อมวลชน และมีการพูดคุยเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในการที่ตำรวจพาขึ้นรถเพื่อหนีสื่อ จึงถูกมองเป็นมุมอื่น ดังนั้นการที่ลุงพลไปให้ปากคำหรือไปเข้าเครื่องจับเท็จเมื่อวาน ทุกครั้งลุงพลก็จะไปด้วยตนเอง และกลับบ้านด้วยตนเอง ไม่เคยมีครั้งไหนตำรวจไปรับ-ส่ง
สำหรับคำถามที่ถูกถาม ขณะเข้าเครื่องจับเท็จนั้น ตอบได้เพียงว่า "ใช่หรือไม่" ห้ามให้มีการอธิบาย ป้าแต๋นระบุว่า จำได้ 4 คำถาม คือ คุณเคยทำผิดไหม, ความผิดที่เคยทำเกี่ยวกับชมพู่มีไหม, คุณเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่ไหม, จากบ้านคุณไปบ้านชมพู่ เดินไปได้ใช่หรือไม่
จากนั้น ลุงพลกับป้าแต๋นได้เดินทางไปตรวจดูงานการก่อสร้างเทพื้นศาลาที่พักสงฆ์เวฬุวัน หรือสำนักสงฆ์ภูหลวง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พร้อมพูดคุยกับช่างทราบว่าคืบหน้าไปกว่า 70% เเล้ว คาดว่าประมาณ 15 วัน ก็จะสร้างเเล้วเสร็จ ซึ่งความเป็นมาของการเทพื้นศาลาแห่งนี้ เนื่องจากลุงพลและแฟนคลับสายบุญได้ร่วมกันทำบุญต้นกฐิน เมื่อเดือนตุลาคม 2563 มีการเปิดบัญชีขอรับเงินบริจาค รวมเป็นเงิน 8 แสนกว่าบาท ซึ่งเริ่มสร้างวันที่ 16 พ.ย. 63
นายไชย์พล วิภา กล่าว่วา สาเหตุที่การก่อสร้างล่าช้า เพราะต้องการทำให้ถูกใจพระอาจารย์มากที่สุด เนื่องจากสร้างเพื่อถวายวัด อีกทั้งการสั่งของไม่สามารถหาได้ในพื้นที่ ต้องสั่งจากกรุงเทพฯ ใช้เวลารอของ 2 สัปดาห์ และติดช่วงวันหยุดในช่วงปีใหม่ ทำให้การก่อสร้างล่าช้า แต่หลังจากที่ช่างพร้อมกลับมาทำงานหลังปีใหม่จึงได้สั่งให้เร่งเดินหน้าการก่อสร้างโดยเร็วที่สุด
เงินบริจาคที่ได้มา 8 แสนกว่าบาท ตนไปเบิกมาประมาณ 2 แสนกว่าบาท แต่ยังมีส่วนค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากต้องรอการก่อสร้างแล้วเสร็จก่อน ยืนยันเงินทุกบาททุกสตางค์สามารถตรวจสอบได้ ทั้งการเบิกจ่ายและใช้จ่าย หลังจากก่อสร้างเสร็จเเล้ว เงินที่เหลือตั้งใจว่าจะถวายพระอาจารย์ทั้งหมด เพื่อเป็นกองบุญ ส่วนกรณีบางเพจที่เคยโพสต์โจมตีในเรื่องเงินก่อสร้างว่าไม่โปร่งใสนั้น ตนมองว่าเพจดังกล่าวต้องการสร้างกระแสเพื่อขายข่าว ตนก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขาไม่ได้ลงพื้นที่ หากใครที่ลงพื้นที่จริงก็คงจะมองเห็นว่าตนได้ทำจริง