จากคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท ที่ จ.กาญจนบุรี โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (3 พ.ค. 61) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ และทนายความฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ วิมูล เดินทางลงบันทึกประจำวัน ที่สถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากได้ทำดีวีดีคลิปเสียงของนายปรีชา ใคร่ครวญ หายไป 1 แผ่น จากทั้งหมด 5 แผ่น (อ่าน :
‘ษิทรา’ แจ้งความทำคลิปเสียง ‘ครูปรีชา’ หาย! เตือนคนเก็บได้หากเผยแพร่ระวังละเมิดศาล)
วันนี้ (3 พ.ค. 61)
“รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ และ
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ร่วมพูดคุยในรายการ
โดย
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กล่าวว่า จากคดีเรื่องคลิปเสียงที่ตนทำหายนั้น ตนไม่มีเจตนาจะเผยแพร่ ส่วนกรณีที่ตนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวานนี้ (2 พ.ค.) หลังจากที่ได้ฟังคลิปเสียงที่ได้มาจาก ปอท. แล้ว ตนก็อยากฝากบอกอีกฝ่ายว่า ถ้าลองฟังคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว อยากเตือนให้กลับใจ แต่จะกลับใจหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของอีกฝ่าย ซึ่งหากอีกฝ่ายมีการอ้างว่าเป็นคลิปเสียงตัดต่อ ตนก็สามารถตรวจสอบและยืนยันได้ว่า เป็นคลิปเสียงที่ตรงกับที่ได้มาจากปอท. ทั้งนี้ ตนฝากเตือนผู้ที่เก็บแผ่นซีดีได้ว่า อย่านำมาเผยแพร่ ให้นำมาคืน เพราะตนต้องใช้ในชั้นศาล และหากเผยแพร่ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศาล
โดนตนได้พยานหลักฐานในคดีแพ่งที่ฝ่ายตนถูกฟ้อง ซึ่งอีกฝ่ายเป็นโจทก์ อ้างขอวัตถุพยานคลิปเสียงนี้ โดนตนมองว่า อีกฝ่ายต้องการหลักฐานเพราะคลิปเสียงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ซึ่งตามหลักกฎหมายทุกฝ่ายก็สามารถขอหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งตนมีการฟ้องฝั่งทนายวรยุทธ 1 คดี แต่ฝ่ายทนายวรยุทธ ฟ้องตนรวมทั้งหมด 4 คดี โดยมองว่าการฟ้องตน ให้เป็นทนายคู่ความร่วมเป็นจำเลย ซึ่งปกติทนายทั่วไปจะไม่ทำกัน
ทั้งนี้ เรื่องทางคดี
นายษิทรา กล่าว่าว ตนมั่นใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าหวยเป็นของลุงจรูญ และหลังจากฟังคลิปเสียง ตนก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น ซึ่งงานก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะตนต้องคัดคลิปเสียงกว่า 100 ไฟล์มาประกอบกับคดี ส่วนกรณีที่ตนทำแผ่นซีดีคลิปเสียงหล่นหายนั้น แล้วอีกฝ่ายอ้างว่า ครูปรีชาก็สามารถทำลอตเตอรี่หล่นหายบ้างได้หรือไม่ ตนมองว่าก็ต้องดูที่พยานหลักฐานว่าครูปรีชา ทำหล่นจริงหรือไม่
ส่วนที่ฝ่ายครูปรีชา มีพยานบุคคลจำนวนมาก มาเป็นพยานใช้ชั้นศาล
ทนายษิทรา กล่าวว่า ตนก็มีพยานที่เตรียมไว้ซึ่งอีกฝ่ายยังไม่ทราบแน่นอนว่าเป็นหลักฐานอะไร ส่วนสาเหตุที่ตนขอจำหน่ายคดีแพ่ง ไม่ใช่เพราะตนไม่มั่นใจ แต่ตนมั่นใจในคดีอาญามากกว่า ส่วนทางลุงจรูญก็ไม่รีบร้อน เพราะตนเอาความชัวร์ โดยทางอาญาจะต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าฝ่ายใดผิด ส่วนคดีทางแพ่ง มีการไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งฝ่ายตนซักพยาน 2-3 ปากก็มีมูลแล้ว แต่อีกฝ่ายนั้นจะมีมูลหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ
โดยกรณีมีพยานปากสำคัญเป็นแม่ค้าขายไก่สด ในตลาดเรดซิตี้ ที่อ้างว่าวันเกิดเหตุได้มีการพูคคุยกับครูปรีชา เรื่องตัวเลข 726 บนลอตเตอรี่ที่ครูปรีชาซื้อมาจริง (อ่าน :
เปิดตัวพยาน “ปรีชา” ได้ยินชัดเต็มหู ซื้อ 726 – เจ๊เกียวปัดเป็นเจ๊ใหญ่คอยบงการ)
นายษิทรา กล่าวว่า
ตนเองก็รู็สึกเห็นใจพยาน ที่บางคนอาจจะมีการจำผิดเรื่องตัวเลข หรือวันที่ผิดเพี้ยนได้ ซึ่งก็ไม่หนักใจแต่อย่างใด หากมีพยานที่ยืนยันว่าได้คุยกับครูปรีชาจริง ตนก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าวันที่ 31 ต.ค. ครูปรีชาไม่ได้ไปที่ตลาด ส่วนที่แม่ค้าระบุว่าเป็นเลข 726 จริง ตนขอถามกลับว่า จะทราบได้อย่างไรว่าเลขตัวหน้าเป็นเลขอะไร
นายษิทรา ระบุว่า ส่วนที่ครูปรีชา เปิดพยานบุคคลที่เตรียมขึ้นศาลกว่า 10 ปาก แล้วบอกให้ฝ่ายตนเปิดหลักฐานบ้าง ซึ่งตนก็มีหลักฐาน แต่จะแสดงในเวลาที่เหมาะสม ก็คือในชั้นศาล ทั้งนี้ตนมั่นใจในพยานหลักฐานและสามารถซักค้านพยานฝ่ายครูปรีชาได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้
นายษิทรา กล่าวว่า ตนจะพิสูจน์ให้ได้ว่าวันที่ 31 ต.ค., วันที่ 1 พ.ย. และวันที่ 31 พ.ย. ของฝ่ายครูปรีชาที่พูดไว้ก่อนหน้านี้นั้น ไม่มีจริง และวันที่ 1 พ.ย. ที่ครูปรีชาอ้างว่าได้ไปแจ้งความ ตนทราบว่าไม่ได้ไปโรงพักจริง ซึ่งหากครูปรีชาได้ฟังคลิปเสียงก็จะทราบเอง ส่วนเรื่องวันที่ 31 พ.ย. ที่ไม่มีอยู่จริง ก็เพราะไม่มีอยู่ในปฏิทิน ซึ่งทางครูปรีชา เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ แล้วพูดถึงวันที่ 31 พ.ย. ซึ่งตรงตามที่มีเอกสารร่างคำฟ้องในคดีแพ่ง ตนจึงจับสังเกตได้ว่ามีการท่องจำมาก่อน และมองว่าเป็นเรื่องตลก
ด้าน
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานชี้ขาดคดี สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ในรายการ กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายควรต่อสู้กันในทางคดีมากกว่า ซึ่งที่มีการตอบโต้กันไปมาอยู่ในขณะนี้ บางคนก็มองว่าเป็นการต่อสู้กันนอกเวที ตนอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดพูด เพราะหากยิ่งพูดก็ยิ่งเป็นประเด็นมากขึ้น และควรให้คดีควรเข้าสู่กระบวนการ ให้ศาลใช้ดุลยพินิจอย่างอิสระ ซึ่งหากทั้ง 2 ฝ่ายพูดมากก็ถือเป็นการกดดันศาล
ส่วนกรณีคลิปที่ทนายษิทราทำหล่นหายนั้น ตนได้ฟังแล้ว ซึ่งเป็นคลิปที่มีการอ้างอิงในศาลแล้ว ตนฝากเตือนคนที่นำไปเผยแพร่ ซึ่งอาจถูกฟ้องได้ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งถือเป็นการรบกวนการพิจารณาคดี รวมถึงสื่อฯ ก็ไม่ควรนำเสนอรายละเอียดภายในคลิปดังกล่าวเช่นกัน
ส่วนกรณีหากฝ่ายครูปรีชา ร้องศาลให้ฝ่ายลุงจรูญหยุดการให้ข้อมูลทางคดีหรือชี้แจงใดๆ ในระหว่างการพิจารณาทางคดี
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า สามารถทำได้ แต่ห้ามเฉพาะการพูดถึงข้อมูลคดี ไม่เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ เนื่องจากคดีกำลังเข้าสู่กระบวนการไต่สวน ซึ่งคดีแพ่งหยุดไว้ก่อน เพื่อรอคดีอาญา เพราะตอนนี้มีประเด็นเดียวว่า
"ใครเป็นเจ้าของลอตเตอรี่"
โดยหลังจากที่ตนได้พูดคุยกับนักกฎหมาย และมองอีกมุมหนึ่งว่า ถ้าทั้ง 2 คดี ที่ฝั่งครูปรีชาฟ้องลุงจรูญ และฝั่งลุงจรูญฟ้องครูปรีชา ศาลเห็นว่ามีมูลด้วยกันทั้งคู่ จะทำให้สับสนว่าจะตัดสินอย่างไร แต่ถ้าหากศาลเห็นว่าไม่มีมูลด้วยกันทั้งคู่ ก็ยิ่งสับสนขึ้นไปอีก โดยมีนักกฎหมายเสนอแนะว่า ให้ยึดหลักคดีที่ครูปรีชาอ้างว่า
"ลอตเตอรี่เป็นของตัวเอง" และฝ่ายลุงจรูญที่อ้างว่า
"ลอตเตอรี่เป็นของตนเอง ซึ่งครูปรีชาเบิกความเท็จ" โดยหากคดีนี้มีมูลทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีมูล ก็เหมือนกันการชี้เป้าคำพิพากษา
โดยคดีอาญาในลักษณะนี้ ตนไม่เคยเจอมาก่อน เพราะปกติแล้ว หากโจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยมีแต่จะติดคุก หรือหลุดคดี แต่โจทก์จะไม่ติดคุก แต่ในคดีของทั้ง 2 ฝ่ายนี้ จะต้องมีอีกฝ่ายติดคุกอย่างแน่นอน ก็มีนักกฎหมายเสนอแนะอีกว่า การพิสูจน์ในคดีแพ่งอยู่ที่ทางฝั่งครูปรีชา เพราะหากมีการไต่สวนในวันที่ 4 มิ.ย. แล้วคดีของครูปรีชา มีมูลที่น่าเชื่อถือ ก็ให้จำหน่ายคดีของลุงจรูญไว้ก่อน ซึ่งในคดีอาญา ครูปรีชาเป็นโจทก์ มีหน้าที่พิสูจน์ความผิดของจำเลย ซึ่งตรงกับข้อสันนิษฐานที่ครูปรีชาต้องพิสูจน์ ว่าลอตเตอรี่เป็นของตนเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องยากหากจะพิสูจน์เรื่องการซื้อลอตเตอรี่ ส่วนหากจะพิสูจน์ต่อไปอีกว่าทำลอตเตอรี่หาย ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
ส่วนถ้าคดีของลุงจรูญมีมูล ลุงจรูญก็พิสูจน์ได้แค่เรื่องที่ไปขึ้นเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่นักกฎหมายกำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดนมองว่าควรทำเงื่อนไขภาระพิสูจน์คดีอาญาให้ตรงกับคดีแพ่ง โดยพักคดีที่ฟ้องครูปรีชาไว้ก่อนยังไม่ไต่สวน แล้วไต่สวนคดีของครูปรีชาจนจบก่อน ซึ่งตอนมองว่าถึงขณะนั้นการไต่สวนใน 2 คดีคงจะเป็นเรื่องที่มันมาก เพราะถือเป็นการสืบพยานเต็มทั้งเรื่อง
อย่างไรก็ตาม การจะไต่สวนมูลฟ้องฝ่ายใดนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ก่อนนำมาสู่การประทับรับฟ้องต่อไป ซึ่งการไต่สวนคือการสืบพยานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ฝ่ายของลุงจรูญ ก็อาจจะเสียเปรียบที่อ้างพยานบุคคลมาไม่ได้ แต่หากอ้างเอกสาร วัตถุพยานเพื่อการซักค้านได้ ก็จะไม่เสียเปรียบมากนัก
นอกจากนี้
ทนายษิทรา กล่าวทิ้งท้ายว่า หากศาลไต่สวนมูลฟ้องฝ่ายครูปรีชา ฝ่ายครูปรีชาก็อาจจะได้เปรียบ แต่ตนมั่นใจว่าในชั้นพิจารณาคดี ฝ่ายครูปรีชาไม่รอดแน่นอน ส่วนตัวก็มีกังวลบ้างหากเป็นไปในทางที่อาจารย์ปรเมศวร์บอกไว้ ส่วนที่อาจารย์ปรเมศวร์ บอกว่าอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดให้ข้อมูลผ่านสื่อฯ ตนมองว่าถ้าหากอยากให้จบ ก็ควรเชิญอีกฝ่ายมาออกรายการพร้อมกับตนแล้วคุยกันให้จบ
ด้าน
นายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความครูปรีชา ชี้แจงถึงประเด็นที่ครูปรีชา เคยออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าลอตเตอรี่หายวันที่ 31 พ.ย. ว่า เรื่องนี้ครูปรีชาพูดผิด เพราะครูอาจตื่นเต้น เลยพูดเดือนผิดจาก 31 เดือนตุลาคม กลายเป็นวันที่ 31 เดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดผิดกันได้ เป็นเรื่องเล็กน้อย โดยทนายษิทราจ้องจับผิดกันมากกว่า ถ้าหากครูไปพูดว่าหายวันที่ 30 พ.ย. นั้น คงจะแก้กันยาก ถือว่าเป็นความโชคดีของครูปรีชา
ทนายวรยุทธ ยกตัวอย่าง หากมีคนมาพูดว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันขัดกับข้อเท็จจริง คนทั่วไปรู้กันดีอยู่แล้ว สิ่งสำคัญอยู่ที่ ครูทำหวยหายหรือไม่ อยู่ที่ข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน ทนายวรยุทธ บอกว่าให้ทนายษิทรา นำเรื่องนี้ไปพูดในชั้นศาลได้เลย เพราะความจริงหวยหายวันที่ 31 ต.ค. ไม่ใช่ 31 พ.ย. วันนี้ไม่มี ครูไม่ได้พูดเท็จ แค่จำวันผิด
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตนได้ดูเอกสารคำฟ้องในคดีแพ่ง ปรากฎว่า ทนายที่ทำคดีแพ่ง เขียนเดือนผิดเช่นกัน จึงให้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ใช่สาระสำคัญอะไร สำหรับวันที่ 1 พ.ย. ครูปรีชา เดินทางไปแจ้งความที่โรงพักแล้ว แต่ในวันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ครูปรีชาไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ครูปรีชาจึงเดินทางกลับ และในวันรุ่งขึ้นก็คือ วันที่ 2 พ.ย. ครูจึงไปแจ้งความต่อที่โรงพัก ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้ ทนายวรยุทธ บอกว่ามีหมดแล้ว ไม่กระทบกับรูปคดี
ด้าน
ครูปรีชา ใคร่ครวญ กล่าวถึงกรณีทนายษิทราเข้าแจ้งความเรื่องทำแผ่นซีดีคลิปเสียงหายในตลาด ว่า หากใครมีคลิปเสียงดังกล่าวก็ให้นำไปเผยแพร่ได้เลย แต่ะวังว่าอย่าให้ไปละเมิดสิทธิ์ของใคร นอกจากนี้ ครูปรีชาบอกด้วยว่า มีคลิปหลุดออกมาทุกวัน ไม่รู้คลิปใครเป็นคลิปใคร ตัดต่อกันเก่งมาก ตนก็อยากให้คนดู ดูแล้วก็วิเคราะห์ไปด้วย แล้วหากคลิปนี้จะปรากฏในชั้นศาล ตนก็ไม่กังวล ซึ่งตนไม่กังวลอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง
ส่วนที่มีคนโจมตีทนายความของตนว่า ต้องการโปรโมทตัวเองจึงรับทำคดี ตนมองว่า ทนายก็ทำหน้าที่ในเรื่องของคดีที่ต้องดูแลลูกความ และวางกลยุทธ์ในการต่อสู้ ทนายความทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองในการดูแลลูกความอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ตอนนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับทนายเรื่องนี้ เพราะต้องเตรียมการสอนช่วงเปิดเทอม
ส่วนกรณีที่มีคนไลฟ์สดว่าตนกับเจ้าของตลาด ไปเอาสำนวนที่ภาค 7 จริงหรือไม่
ครูปรีชา ระบุว่า ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็น หากใครจะพูดว่าใครอย่างไร แต่ถ้ามีการละเมิด ตนก็จะดำเนินการตามกฎหมาย อีกทั้งหากใครจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายชนะคดี นั่นก็เป็นเรื่องของเขา พระพุทธเจ้าบอกว่าหน้าที่ของเราคือมองตัวเอง แล้วรวบรวมสิ่งที่ดีในกระบวนการชั้นศาลต่อไป ตนจะไม่พูดว่าใคร ตนขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อเท็จจริง
ด้าน
นางสาวรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือ
เจ๊บ้าบิ่น ยืนยันว่า ตนเองไม่ทราบว่าใครเป็นเจ๊ใหญ่แห่งตลาดเรดซิตี้ แต่ไม่น่าใช่เจ๊เกียว ส่วนผู้จัดการตลาด ตนไม่ทราบว่าใช่เจ๊ใหญ่หรือไม่ เพราะไม่สนิท นานๆ จึงจะเจอกันที ตนขายหวยก็ทำหน้าที่เป็นแม่ค้า มีเพียงแต่ลุงสมบุตรที่เป็นผู้จัดตลาด สำหรับข่าวที่ออกมา ตนยืนยันว่าเป็นข่าวมั่ว อย่าไปติดตามมาก ส่วนคนที่อ้างว่าพวกตนต้องติดคุกนั้น ตนมองว่าเขาทำลายความน่าเชื่อถือของพวกตนมากกว่า เพราะตนมีความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ของแท้ไม่ต้องพูดเยอะ เสียราคาคุย
ตอนนี้ตนรู้สึกมีความสุข และปลื้มกับการค้าขายมาก มีแต่ลูกค้าจากต่างจังหวัดมาให้กำลังใจ แต่สำหรับคนที่เขาไลฟ์สดต่อว่าเรา ตนก็คิดเสียว่าเป็นส่วนเกินในชีวิต เขาไม่มีงานทำก็ให้เขาทำไป อะไรที่เขามีความสุขก็ให้เขาทำไป โดยหลังจากที่เจ๊บ้าบิ่นกล่าวจบแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้พร้อมกล่าวคำว่า สาธุ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว