หลังจากที่ทางอมรินทร์ ทีวี นำเสนอข่าวป้ามหาภัย หรือป้ารักแร้เหนียว กระทั่งป้ารักแร้เหนียวไปก่อเหตุฉกเงินทอนที่ร้านค้าย่านบางนา ในวันที่ 9 ม.ค.64 ที่ผ่านมา แต่ถูกน้องพนักงานจับโป๊ะได้ก่อน จากนั้นก็มีพลเมืองดีพบเห็นป้าโพล่ที่บางรัก โดยไปขอใช้โทรศัพท์ชาวบ้านโทรหาปลายคนชื่อ "ตึ๋ง"
ทั้งนี้ทีมข่าวได้โทรไปสอบถามข้อมูลจากนายตึ๋ง แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า "จำไม่ได้" กระทั่งทีมข่าวส่งภาพและคลิปไปให้ทางไลน์ แล้วตอบกลับมาในช่วงเช้าวันนี้ว่า บุคคลในภาพคือ น้องสาวของตนจริง ๆ
ล่าสุดวันที่ 12 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับนายตึ๋ง พี่ชายของป้ารักแร้เหนียว เปิดใจกับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีว่า ตนและน้องสาวแยกกันอยู่ตั้งแต่น้องสาวแต่งงานมีครอบครัวตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เพราะต่างคนต่างอยู่ นาน ๆ ทีจะได้เจอกันบ้าง ซึ่งตัวน้องสาวเองก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ได้ติดต่อกัน
ส่วนตัวชอบใช้ชีวิตแบบสงบสุข อยู่กับการปลูกต้นไม้ ทำการเกษตร ซึ่งไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสาร และไม่ค่อยรับเบอร์แปลกจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังหรือไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด ตนเป็นผู้บริสุทธิ์ใจ และยืนยันได้ว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ ตอนนี้ทางครอบครัวตนก็รู้สึกเครียดที่ข่าวออกไปว่า ตนช่วยน้องสาวปิดบัง
ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณกลางปี 2563 เคยได้ยินข่าวแว่ว ๆ ว่า มีคนก่อเหตุฉกเงินทอนในลักษณะแบบนี้ว่าเป็นน้องสาวตน ตนก็ได้มีการถามไปยังน้องสาวว่า “ได้ทำจริงๆหรือไม่? อย่าไปหาทำแบบนั้น มันเสียหายถึงคนในครอบครัว” ซึ่งทางน้องสาวตนก็ปฏิเสธ บอกกับตนว่าไม่ได้ทำ ตนก็เชื่อใจ และก็ด้วยความที่ตนไม่ค่อยได้ดูข่าว เลยไม่ได้ทราบรายละเอียดหรือภาพหลักฐาน กระทั่งทีมข่าวได้ส่งให้ดู ซึ่งก็ถือว่าตนได้มีการตักเตือนไปแล้ว ที่ผ่านมาน้องสาวก็ไม่เคยมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย และก็ไม่เคยมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล
เมื่อมาทราบข่าวว่า น้องสาวของตนเป็นผู้ก่อเหตุฉกเงินทอน ตนก็รู้สึกเสียใจ และยังคาใจว่า น้องสาวของตนทำไมถึงทำแบบนี้ มีปัญหาอะไรทำไมไม่มาปรึกษา แต่ตนก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ ตนขอโทษผู้เสียหายแทนน้องสาว ถ้าน้องตนทำผิดจริง ๆ ก็ให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายไป ซึ่งสาเหตุคาดว่าน้องต้องเครียดกับปัญหาอะไรสักอย่าง
อย่างไรก็ตาม ถ้าน้องสาวดูข่าวอมรินทร์ ทีวี ก็อยากให้มามอบตัว คนเราทำผิดพลาดกันได้ ส่วนตัวพี่เองก็ยังคงเป็นพี่ เราพี่น้องกันต้องช่วยเหลือกัน
ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของป้ารักแร้เหนียว พบว่าเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีข้อมูลมาว่า ป้าชอบปลูกต้นไม้ โดยบ้านถูกปิดตัวเงียบ
ทีมข่าวสอบถามนายพชร โสปาโก อายุ 23 ปี ญาติป้ารักแร้เหนียว เล่าว่า ตนเป็นหลานของป้ารักแร้เหนียว อดีตสามีของป้าเป็นลุงของตน ซึ่งตนค่อนข้างจะรู้จักดีเพราะป้าเพิ่งทำวีรกรรมไว้ ป้าเผารถมอเตอร์ไซค์เสียหายไหม้ทั้งคัน และยังมีฝากระโปรงรถอีก 3 คันที่ถูกป้าใช้ไฟเผา
ส่วนอีก 1 คันโดนกรีดรถเป็นรอย จึงมีการจับกุมตัวไปสอบสวน โดยป้าอ้างกับตำรวจว่า เกลียดครอบครัวตน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแนะให้ติดกล้องวงจรปิด ซึ่งตนก็ได้ติดกล้องไว้ ซึ่งในวันเดียวกันประมาณ 22.00 น. ภายในกล้องวงจรปิดจับภาพป้าเดินเข้ามาพร้อมน้ำมัน จังหวะนั้นตนก็เฝ้าดูกล้องวงจรปิด เพื่อให้สามารถบันทึกเป็นหลักฐานได้ พอป้าจุดไฟ ตนก็รีบวิ่งออกไปดับไฟ ในขณะที่ป้าวิ่งหนีเข้าไปในป่า ซึ่งสามารถทะลุไปถนนใหญ่ได้ และก็ไม่ได้เจอตัวป้าอีกเลย
เมื่อทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี นำเสนอข่าวว่า ป้าไปโพล่บางรัก แล้วมีการขอใช้โทรศัพท์พลเมืองดี ขอดูข่าวไฟไหม้ และยืมโทรศัพท์เพื่อโทรหาคนชื่อตึ๋ง ตนจึงเอะใจ ทำไมทุกอย่างมันดูเป็นคนเดียวกัน ส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นคนเดียวกันจริง ๆ คงจะแสบน่าดู เพราะทำวีรกรรมไว้เยอะ ที่ป้าหนีไปในครั้งนี้ คือหนีไปเพราะเหตุเผารถ ไม่ได้หนีเพราะเหตุฉกเงินทอน
นางชบา (นามสมมติ) อายุ 58 ปี เพื่อนบ้าน เล่าให้ทีมข่างฟังว่า ตนรู้จักทั้งผู้ก่อเหตุ และพี่ชายผู้ก่อเหตุ ทั้ง 2 คนเป็นคนนิสัยดี โดยเฉพาะพี่ชายเป็นที่รักของคนในพื้นที่ ที่ผ่านมาตนเห็นว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนกตัญญู รักแม่ ซื้อข้าว ซื้อน้ำมาดูแลแม่อย่างดี และพาแม่ที่ป่วยไปหาหมอเสมอ
โดยผู้ก่อเหตุจะเดินทางมาจ่ายค่าส่วนกลางของชุมชนทุกเดือน ค่าใช้ต่าง ๆ ผู้ก่อเหตุก็เป็นคนรับผิดชอบดูแลทั้งหมด แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ก่อเหตุทำงานอะไร ปัจจุบันอยู่ที่ไหน เนื่องจากเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาตนได้เจอกันก็จะทักทายตามปกติ ส่วนลักษณะการแต่งกายของป้ารักแร้เหนียว มักจะติดกิ๊บเยอะ ๆ ผูกโบใหญ่ ๆ มาตลอด และมาซื้อน้ำที่ร้านของตนเสมอ แต่ก็ไม่เคยถูกผู้ก่อเหตุหลอกเงินทอน
ทั้งนี้ตนเพิ่งทราบเรื่อง หลังจากทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี นำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 11 ม.ค.64 ซึ่งตอนแรกตนก็ไม่มั่นใจว่าจะใช่ผู้ก่อเหตุหรือไม่ พอดูภาพกล้องวงจรปิดถึงทราบข่าวว่าเป็นผู้ก่อเหตุฉกเงินตามร้านสะดวกซื้อ ตนก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นคนแบบนี้
ส่วนพี่ชายของผู้ก่อเหตุ เป็นที่รักของคนในหมู่บ้าน ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพี่ชายของผู้ก่อเหตุก็รับแม่มาดูแลที่บ้านของตน ตนคาดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมีความเครียด ก็ไม่รู้ว่ามีอาการเบลออะไร หรือเป็นเพราะสามีเลิกไปนานแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ผู้ก่อเหตุทำงานอะไร ได้เงินมาจากไหน แต่โดยรวมแล้วผู้ก่อเหตุเป็นคนดี มีรถ ฐานะดี ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้