กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระประแดง เปิดเผยว่า การจับกุมตัว น.ส.น้ำผึ้ง เนตร์ทิพย์ หรือ ป้ารักแร้เหนียว อายุ 51 ปี จะแจ้งข้อหาในคดีวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ส่วนเรื่องรักแร้เหนียวฉกเงินทอนยังไม่มีผู้เสียหายในพื้นที่เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ ฝากไปถึงโรงพักอื่น ๆ ที่ป้ารักแร้เหนียวเดินทางไปก่อเหตุ ให้มาติดต่อขออายัดตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.พระประแดง ได้เลย ก่อนที่จะนำตัวเข้าสู่ในกระบวนชั้นศาล ทั้งนี้มีข้อมูลว่าป้าได้รับยาเกี่ยวกับประสาทกับทางโรงพยาบาล ซึ่งญาติจะนำยามาให้เจ้าหน้าที่ดูอีกครั้ง
คลิกอ่านข่าว "ป้ารักแร้เหนียว" ทั้งหมดที่นี่
ล่าสุดวันที่ 14 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ บ้านพักแห่งหนึ่ง ในย่าน ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ที่หน้าบ้านพักยังมีรถที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมจอดไว้อยู่ที่เดิม
นายวรพจน์ โสปาโก อายุ 56 ปี อดีตสามีของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้หลังจากที่น.ส.น้ำผึ้ง ถูกจับกุม ตนได้เข้าไปพบกับน.ส.น้ำผึ้ง พร้อมกับสอบถามว่า "ทำไมถึงทำแบบนี้" แต่น.ส.น้ำผึ้ง กลับนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไร
ทั้งนี้ ตนไม่รู้สาเหตุว่า ทำไมถึงต้องทำลายทรัพย์สิน เพราะไม่เคยทะเลาะกัน และตนเลิกกันมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว เลิกหลังจากที่ลูกชายอายุ 2 ปี ปัจจุบันลูกชาย อายุ 15 ปี ซึ่งตั้งแต่เลิกกันก็ไม่เคยคุย เหมือนอยู่กันคนละโลกแล้ว จึงไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้อดีตภรรยาจะมีนิสัยอย่างไร
ส่วนเรื่องที่ได้รับฉายาว่า "ป้ารักแร้เหนียว" ตนก็เพิ่งจะมาทราบจากร้อยเวรที่นำภาพมาให้ดู จึงทราบเรื่อง ว่า ออกไปก่อเหตุเป็นมิจฉาชีพ เพราะปกติไม่ชอบดูข่าว เลยไม่ทราบเรื่อง ขณะนี้ตนรู้สึกสงสารลูกชายของตัวเองมาก เพราะผู้ก่อเหตุเป็นแม่ ไม่มีใครทำใจได้ อีกทั้งไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาก่อเหตุเผาทรัพย์สิน และก่อเหตุขโมยเงินทอนแบบนี้
ทั้งนี้ตนยังไม่พร้อมให้ประกันตัวออกมา เพราะอยากจะให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ส่วนบทลงโทษเป็นดุลพินิจของศาล เพราะหากประกันตัวออกมาก็เกรงว่า จะย้อนกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยังรู้สึกงงอยู่ และยังไม่อยากที่จะคุยกับใคร ส่วนตัวคิดว่า น.ส.น้ำผึ้ง คงจะไม่เข้ามาขอโทษทางครอบครัว แต่ตนอโหสิกรรมให้ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พบกับซากรถมอเตอร์ไซค์ที่โดนเผาจุดแรก เหลือแต่โครงยังมีรอยไหม้ให้เห็นชัดเจน โดยนางสิรามน โสปาโก อายุ 44 ปี น้องสะใภ้คนก่อเหตุ ได้เดินไปชี้จุดที่ไฟไหม้รถมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง และรถกระบะ รวมทั้งรถกระบะที่โดนกรีด ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
นางสิรามน เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า วันเกิดเหตุ ตนนอนอยู่ในบ้านได้ยินเสียงระเบิด จึงออกมาดูเห็นไฟลุกไหม้มอเตอร์ไซค์ จึงรีบช่วยกันดับไฟ และหันไปเห็นรถเก๋งไฟลุกไหม้กระโปรงหน้ารถอีก และรถกระบะก็ไฟลุกไหม้กระโปรงหน้ารถเช่นกัน ญาติ ๆ จึงช่วยกันดับไฟ รวมทั้งพบว่ามีรถกระบะส่งของมีรอยกรีดรอบคัน ยอมรับว่าตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเป็นเครือญาติกันที่มาทำแบบนี้
ทีมข่าวได้เดินทางมาสอบถาม นายพชร โสปาโก อายุ 50 ปี ผู้เสียหาย หรือ หลานของอดีตสามี เปิดเผยว่า วันที่ 6 ม.ค.64 น.ส.น้ำผึ้ง ได้ก่อเหตุเผารถจักรยานยนต์ของตน ส่วนวันที่ 7 ม.ค.64 ได้ย้อนกลับมาเผาบ้านอีก แต่โชคดีที่ไฟไม่ลุกลาม
หลังจากเกิดเรื่อง ทางครอบครัวนอนไม่หลับ เพราะต้องนั่งเฝ้ากล้องวงจรปิดกันทั้งคืน กระทั่งเมื่อวานนี้ ผู้ก่อเหตุถูกจับกุมตัวได้ ตนกับครอบครัวได้เข้าไปดู แต่ไม่ได้พูดคุย และเห็นว่าผู้ก่อเหตุทำท่าทางเหมือนโกรธแค้นตน ซึ่งตนไม่ทราบว่ารู้สึกโกรธอะไร เพราะส่วนตัวไม่เคยได้พูดคุยกัน
ทั้งนี้ตนมองว่า ผู้ก่อเหตุไม่น่าจะมีอาการทางจิต แต่น่าจะเป็นคนขี้หวาดระแวง เกรงจะมีคนมาทำร้าย เพราะผู้ก่อเหตุให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนกับพ่อของตนจะทำร้ายผู้ก่อเหตุ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงคิดแบบนั่น อย่างไรก็ตาม ตนเกรงว่าจะมีการประกันตัว เพราะถ้าออกมาได้ก็คงจะมาก่อเหตุซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นอกจากนี้ ทีมข่าวได้สอบถาม นายชาตรี โสปาโก อายุ 50 ปี พ่อของผู้ตายเสียหาย และเป็นน้องชายของอดีตสามี เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุมักจะออกจากบ้านเป็นเวลา คือ เวลาประมาณ 12.00-13.00 จะออกจากบ้าน เพื่อไปทำงาน และเวลาประมาณ 01.00-02.00 จะกลับมาที่บ้าน ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันหยุด จึงไม่มีใครสงสัยว่า จะเป็นมิจฉาชีพ
ส่วนตัวเคยดูข้อมูลข่าวจากอมรินทร์ ทีวี ทุกวัน รู้สึกคุ้นหน้าว่า ทำไมถึงหน้าคล้ายกัน แต่ตนไม่ได้เอะใจ กระทั่งช่วงนี้มีข่าวป้ารักแร้เหนียวออกมาเยอะ หลังจากที่ถูกจุดไฟเผาบ้าน ตนต้องนั่งเฝ้ากล้องวงจร และได้ย้อนดูข่าว เรื่องป้ารักแร้เหนียว ตนจึงรู้สึกสงสัยว่า อดีตภรรยาของพี่ชายอาจจะเป็นคนเดียวกับป้ารักแร้เหนียว ตนจึงโทรสอบถามทางนักข่าวอมรินทร์ ทีวี และทราบว่าเป็นคนเดียวกัน
ในส่วนของครอบครัว ได้ดำเนินการเรื่องที่ผู้ก่อเหตุเผารถ กับเผาเคหะสถาน ส่วนเรื่องอื่น ๆ ตนไม่แน่ใจว่าจะนำมารวมกันได้หรือไม่ ส่วนบทลงโทษอยู่ที่ดุลพินิจของศาล แต่ตนขอคัดค้านการประกันตัว เพราะตนมองว่า การกระทำเช่นนี้เป็นคดีที่ร้ายแรง
ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุมีนิสัยเหมือนคนทั่วไป เลยไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุเช่นนี้ โดยผู้ก่อเหตุมีปัญหากับครอบครัวของตน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกลียดตน ถึงขั้นทำลายทรัพย์สิน ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกับผู้ก่อเหตุมาประมาณ 6-7 ปีแล้ว เพราะผู้ก่อเหตุมักจะมีปัญหากับครอบครัวของตนอยู่บ่อยครั้ง เช่น ด่าพ่อแม่ของตน
นอกจากนี้ ตนไม่ขออโหสิกรรมให้ เพราะถ้าวันนั้นตนไม่สะดุ้งตื่นขึ้นมาดับเพลิงก็คงจะลุกไหม้ทั้งบ้าน ผู้ก่อเหตุยังไม่มีท่าทีว่ารู้สึกสำนึกผิด เพราะเมื่อวานนี้ได้ชี้หน้าภรรยาของตน ด้วยสีหน้าโกรธแค้น แต่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งตนก็ยังงงอยู่ ใครควรจะเป็นฝ่ายโกรธกันแน่
เมื่อประเมินความเสียหายเบื้องต้นตลอดทั้งปี 63 ที่ป้ารักแร้เหนียวก่อเหตุ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ ก่อเหตุ 1 วันได้เงิน 500 บาท ซึ่งเมื่อทำทุกวันติดต่อกัน และถ้าหนีคดี 369 วัน ความเสียหายจะเท่ากับ 184,500 บาท แต่พนักงานที่เป็นเหยื่อของป้ารักแร้เหนียว กลับมีเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 13,000 บาท
น.ส.แอน อายุ 27 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.น้ำผึ้ง เนตร์ทิพย์ หรือ ป้ารักแร้เหนียว อายุ 51 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระประแดง จับกุมตัวแล้วตนก็รู้สึกดีใจที่ป้าจะถูกดำเนินคดี เพราะจะได้ไม่ต้องออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นอีก เพราะตนติดตามข่าวนี้มาโดยตลอดจนรู้ว่า ไม่ได้มีเพียงตนที่ตกเป็นเหยื่อของป้ารายดังกล่าว แต่ยังมีเหยื่อผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ป้า ตระเวนไปก่อเหตุตามจุดต่าง ๆ
ส่วนกรณีที่ป้ารายนี้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหา ลอบวางเพลิงเผารถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน ตนก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก เพราะไม่คิดว่าป้ารายดังกล่าวจะมีพฤติกรรมไม่ดีถึงขั้นนี้ ทั้งนี้จากข้อมูลที่ตนติดตาม ป้าได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ในฐานะผู้เสียหายตนยืนยันว่าสิ่งที่ป้าให้การปฏิเสธนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากขณะที่ป้าไปก่อเหตุตามจุดต่าง ๆ สถานที่ต่าง ๆ ก็มีภาพวงจรปิดเห็นชัดว่าบุคคลที่ก่อเหตุ คือ ป้ารายดังกล่าวจริง ๆ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าจะให้การปฏิเสธทำไม
สุดท้ายนี้ หากเป็นไปได้อยากให้ป้ารายดังกล่าวเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ตนก็ไม่ทราบว่าเจ้าตัวมีปัญหาเรื่องการเงินหรืออย่างไร แต่ก็ไม่สมควรที่จะออกมาตระเวนก่อเหตุดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนในลักษณะดังกล่าว