เมื่อวันที่ 21 ม.ค.64 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดังต่อไปนี้
สัปดาห์หน้าผมจะลงไปบ้านกกกอกนะครับ เนื่องจากลุงพลติดต่อมาหลายครั้ง ขอให้ผมลงไปช่วยคดีน้องชมพู่ เนื่องจากมีข่าวลือมาว่า ตำรวจอาจใช้เครื่องจับเท็จเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี ในฐานะทนายผมยืนยันเลยนะครับว่า ในศาลเครื่องจับเท็จไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการใช้เป็นหลักฐาน เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนเยอะ
ผมก็เหมือนกับทุกคน ที่อยากรู้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต อ่านตามหลักฐานนิติเวชก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าน้องจะหลงป่าจนเกิดความสูญเสีย ที่สำคัญถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจน มีแต่ความระแวงสงสัย เราอาจกำลังสร้างเหยื่ออีกคนในการใส่ร้ายผู้อื่นว่าเป็นฆาตกร
หลักในการทำคดีของผม คือ ไม่มีใครสมควรได้รับโทษในความผิดที่ไม่ได้ทำ ผมรู้ว่าทุกคนเบื่อกับคดีนี้มาก แต่ผมไม่อาจปล่อยผ่านได้จริง ๆ เดี๋ยวจะลงพื้นที่และตรวจสอบดู ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะรับทำคดีหรือไม่อย่างไรครับ
นิสัยของลุงพลไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนะครับ ต่อให้ลุงพลน็อตหลุดต่อยนักข่าว หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นฆาตกร ความรัก ความชื่นชม ของแฟนคลับและแอนตี้ไม่มีผลอะไรกับคดีทั้งนั้น อยากให้แยกแยะตรงนี้กันก่อน ผมจะเชื่อว่าลุงพลทำ ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาเอาผิดครับ
ทีมข่าวได้วิดีโอคอลไปยัง นายษิทรา กล่าวให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการทุบโต๊ะข่าว ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 ว่า จริง ๆ แล้วลุงพลติดต่อหาตนหลายครั้งแล้ว แต่ในส่วนคดีของน้องชมพู่ ได้พูดคุยกันเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ลุงพลโทรศัพท์มาให้ช่วยคดี บอกว่าเชื่อในฝีมือของตนและมั่นใจอยากให้ทำคดีดังกล่ว ในเมื่อมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือ ตนก็อยากจะช่วย แต่ตนขอลงพื้นที่บ้านกกกอกก่อน จะได้ตัดสินใจและตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า จะเป็นทนายในคดีน้องชมพู่
ส่วนประเด็นที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าลุงพลเป็นฆาตกรหรือไม่นั้น ก็เป็นสิ่งดีที่ดีที่ลุงพลติดต่อทนายไว้ก่อน เหมือนกับคดีหวย 30 ล้านของลุงจรูญ ที่ติดต่อเข้ามาหาตนก่อนจะเป็นคดีความ แต่หากตนเป็นผู้ติดต่อไปทำคดีเอง แบบนี้ก็น่าจะตั้งข้อสังเกตในประเด็นคุณอัจฉริยะได้ และเขาก็เข้ามาทุกคดีอยู่แล้ว อย่านำตนไปโยงเลย ดังนั้นการที่ตนเข้าไปทำคดีจึงไม่เกี่ยวกับคนนอก แต่ตนก็ไม่ทราบว่าทำไมจังหวะมันได้แบบนี้ แต่ยินยันว่าลุงพลติดต่อมาพอดี ตนจึงต้องลงพื้นที่ไปดูเสียก่อน
ทั้งนี้คดีน้องชมพู่ ตนยอมรับว่าไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่มีข้อมูลเรื่องที่แพทย์บอกว่าเด็กอาจจะสามารถเดินขึ้นเขาไปได้ แต่ก็โดนทัวร์ลง ฉะนั้นตนจึงอยากไปพิสูจน์ที่บ้านกกกอก และตนก็มีความสนิทกับทนายรัชพล แต่ไม่ได้คุยกันเรื่องขึ้นเขาภูเหล็กไฟว่ามีความยากง่ายแค่ไหน ใจของตนอยากจะช่วยลุงพลอยู่แล้ว แต่ขอลงพื้นที่ไปดูพยานหลักฐานต่าง ๆ ถึงวลานั้นถ้าตนมั่นใจแล้ว ก็จะได้ช่วยอย่างเต็มที่ เพราะหลายคนก็อยากรู้ว่าใครฆ่าน้องชมพู่ ตนก็เป็นหนึ่งคนที่อยากรู้เช่นกัน
นอกจากนี้ ลุงพล ยังบอกตนว่าเชื่อมั่นในฝีมือและความสามารถในการว่าความของตน จึงเจาะจงต้องเป็นทนายตั้ม ให้เข้ามาช่วยเหลือในคดีน้องชมพู่ ส่วนหนึ่งตนก็รับรู้ข้อมูลจากสื่อว่า ลุงพลเป็นเพียงผู้ต้องสัยที่เข้าเครื่องจับเท็จ แต่ถ้าเป็นฆาตกรจะไม่ชอบอยู่กลางแสงไฟ ลุงพลจึงมีความแตกต่างจากฆาตกร เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตนจะต้องลงพื้นที่พูดคุยกับลุงพลอย่างที่ตนได้กล่าวไปข้างต้น อีกทั้งอย่าลืมว่าลุงพลเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด วิธีคิดหลายอย่างอาจไม่เหมือนตนหรือคนเมือง การสื่อสารอะไรออกมาจึงไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นวันนี้ตนยังไม่ได้เข้าไปอย่างเต็มตัว ก็เลยยังไม่ได้เผื่อใจว่า ถ้าเหตุการณ์ของตนเป็นแบบหมอปลา ตนจะออกมาแบบไหน ถ้าเป็นแบบหมอปลาจริง ๆ ก็คงออกอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เป็นข่าวอะไร ตนไม่ได้เป็นแฟนคลับลุงพล ยอมรับว่าไม่ได้ติดตามข่าวทั้งหมด และไม่เคยพบเจอครอบครัวน้องชมพู่ แต่ถ้าพ่อแม่เด็กไม่รังเกียจ ก็อยากจะเข้าไปพูดคุยกับพ่อแม่น้องชมพู่ เพราะหากมีข้อมูลรอบด้านย่อมเป็นสิ่งที่ดี
ส่วนหมอปลาก็เข้ามาคุยกับตนที่บ้าน คุยกันหลายเรื่อง แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย ตนก็ถามหมอปลาว่า จะโกรธตนหรือไม่ที่ตนเข้าไปทำคดีน้องชมพู หมอปลาก็ตอบว่า เป็นเรื่องส่วนตัว แยกออก เป็นหน้าที่ของทนายตั้ม เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานหมอปลาสามารถแยกออกจากกันได้ สาระสำคัญที่ตนทำคดีเป็นข้อเท็จจริง ส่วนความบาดหมางของลุงพลกับใคร ตนจะไม่เอามาเป็นข้อพิรุธว่าใครเป็นคนฆ่าน้องชมพู่ อย่างไรก็ตาม ต้องบอกเลยว่า "ผมไม่ได้ไปฟรี ๆ ผมมีอาชีพทนายความ ต้องเลี้ยงครอบครัว ฉะนั้นลุงพลก็จะมีสิ่งตอบแทนให้"
นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงเขยของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ได้ประสานทนายตั้มมาช่วยดูแลคดีน้องชมพู่ เพราะกลัวมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งจะเตรียมการไว้ก่อน และตนเชื่อใจทนายตั้ม และเขายังเป็นผู้ดูแลคดีหมิ่นประมาทที่ตนมีกับนายอัจฉริยะ รวมถึงยืนยันว่า "ไม่ได้ร้อนตัว เพราะตุ่มยังไม่ขึ้นที่ตัวผม" แต่ต้องมีวัคซีนดี ๆ มาป้องกัน ซึ่งทนายตั้มจะเดินทางมาในสัปดาห์หน้า
ในส่วนประเด็นที่นายอัจฉริยะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเทวดานางฟ้าและเหล็กไหล ตนยืนยันว่าทั้งชีวิตไม่รู้เรื่องขั้นตอนการตัดเหล็กไหลมาก่อน เพราะหมอปลาก็เคยบอกว่า น้องชมพู่เป็นเด็กบริสุทธิ์ ไม่สามารถทำอะไรได้
ส่วนการที่นายอัจฉริยะ ยื่นร้องเรียนเรื่องตนสร้างพญานาคว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นที่ดินของป่าไม้นั้น ตนก็ไม่กังวลเรื่องอะไร และจะสร้างต่อให้เสร็จ รวมถึงเรื่องไม้นั้น ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามายกไปแล้วเมื่อวานนี้ (20 ม.ค.64) ตนก็ยินดีที่ปล่อยไปตามกระบวนการ ส่วนคนที่จ้องจับผิด ตนมองว่าเขาอยากให้ตนดังมากกว่า
กรณีเงินบริจาคเทพื้นสำนักสงฆ์ภูหลวง นายไชย์พล บอกว่า วันนี้เตรียมนำสมุดบัญชีในธนาคารไปเบิกเงินที่เหลือจำนวน 328,601.75 บาท มาใช้จ่ายค่าแรงช่าง ค่าปูน และบำรุงพระพุทธศาสนา รวมถึงสอบถามกรมสรรพากรถึงเรื่องการเสียภาษี ก่อนจะทำปิดบัญชีต่อไป และจากนี้จะไม่เปิดบัญชีรับบริจาคอีกแล้ว
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิดผล เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ อีกครั้ง กล่าวว่า การที่ตนตัดสินใจจะเข้ามาช่วยลุงพลทำคดีน้องชมพู่นั้น เกิดจากการที่ลุงพล พยายามติดต่อเข้ามาหลายครั้งแล้ว โดยบอกกับตนว่ามีความเชื่อมั่นในตัวของทนายตั้ม ว่าจะไขคดีปริศนานี้ได้
ทั้งนี้ตนในฐานะที่ประกอบอาชีพทนาย เมื่อมีลูกความมาร้องทุกข์ ตนก็ต้องรับเรื่องร้องทุกข์เป็นเรื่องปกติ ส่วนจะเชื่อมั่นในตัวลุงพลหรือไม่นั้น ถ้าลุงพลมั่นใจที่จะให้ตนช่วยเรื่องคดีความ ตนก็ต้องมั่นใจในตัวลูกความ หากในอนาคตแล้ววันหนึ่งลุงพลจะกลายเป็นผู้ต้องหาจริง ๆ ตนก็มีหน้าที่รวบรวมหลังฐานที่มีทำหน้าที่ทนายให้ดีที่สุด ขณะนี้จึงยังไม่มีความกังวลใจอะไร ขอลงพื้นที่และขอเวลาค้นหาข้อมูลประกอบคดีเสียก่อน
ส่วนกรณีที่มีการพูดคุยกับหมอปลา เป็นการเข้ามาพูดคุยกันตามปกติ เนื่องจากตั้งแต่ปีใหม่ตนเพิ่งจะได้พูดคุยกับหมอปลา ซึ่งเนื้อหาที่พูดคุยกันเป็นเรื่องของการทำยูทูบมากกว่า ไม่ได้มีการมาเกลี้ยกล่อมอะไรใด ๆ ทั้งนั้น มากไปกว่านั้นหมอปลายยังคงเชื่อเสียด้วยซ้ำว่า ลุงพลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่ ซึ่งจะจริงหรือเท็จอย่างไรก็ต้องว่าไปตามหลักฐาน
เรื่องของกระแสสังคมที่ดราม่าเกี่ยวกับลุงพลต่าง ๆ มากมาย ตนมองว่าอะไรที่ไม่เกี่ยวกับคดีน้องชมพู่ ก็ไม่อยากเก็บเอามาใส่ใจ ให้เป็นเรื่องส่วนตัวของลุงพล ตนก็จะทำหน้าที่ในบริบทของการเป็นทนาย ถึงแม้ว่าการแสดงออกของลุงพลต่าง ๆ จะออกมาเป็นภาพที่ไม่ดี เรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนนี้ลุงพลก็โตแล้ว ก็น่าจะคิดได้แล้วว่าอะไรควรหรือไม่ควร