กรณีชาวบ้านลงชื่อขอให้มีการขับไล่กลุ่มยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร เพราะเนื่องจากกระทบสิทธิ์ และเสรีภาพของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเปิดให้มีการลงชื่อ 1 สัปดาห์ มีคนลงชื่อ 43 คนนั้น
ล่าสุดวันที่ 22 ม.ค.64 เวลา 10.30 น. นายประหยัด คูณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงกลวง พร้อมด้วย สาธารณะสุขอำเภอดวงหลวง สารวัตรใหญ่กกตูม และทีมฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่มารับฟังความเห็นของชาวบ้านกกกอก โดยมีผู้ใหญ่นิ่ม เงินนาม เป็นตัวแทนชาวบ้าน เปิดรับฟังความคิดเห็น และรับฟังความเห็นชาวบ้าน กรณีที่ร้องเรียนไปยังนายอำเภอดงหลวง ขอให้มีการขับไล่กลุ่มยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้าน
นายประหยัด คูณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงกลวง ได้เริ่มต้นอ่านข้อร้องเรียน จากหนังสือที่ชาวบ้านส่งถึงนายอำเภอดงหลวง เมื่อวันที่ 18 ม.ค.64 ซึ่งเป็นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ของชาวบ้าน ต่อกรณีกลุ่มยูทูเบอร์ที่เดินทางมาจากภายนอก แล้วมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่
1.กลุ่มยูทูเบอร์ที่มาจากภายนอกก่อความวุ่นวายในชุมชน
2.ทำการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลของชาวบ้าน
3.กลุ่มยูทูเบอร์คุกคามพระสงฆ์และชาวบ้านในพื้นที่
4.ชาวบ้านกังวลเรื่องโรคระบาดโควิด-19
5.ชาวบ้านกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
นายประหยัด ยังบอกว่า หลังจากที่ชาวบ้านร้องเรียนมายังในอำเภอ จึงได้มีการรายงานให้ทางผู้ว่าราชการ จ.มุกดาหาร รับทราบ ซึ่งผู้ว่าฯ ได้สั่งการให้อำเภอดงหลวง จัดกลุ่มอส. ฝ่ายปกครองพื้นที่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เข้ามาดูแลความเรียบร้อยบริเวณจุดที่ยูทูเบอร์พักอาศัยอยู่ รวมทั้งบริเวณหน้าบ้านของลุงพล โดยได้มีการจัดส่งชุดทำงานเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว แต่หลังจากนี้จะต้องมีการช่วยกันดูแลเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะให้ทีมจากอำเภอดงหลวง ได้เรียกสอบปากคำแยก ชึ่งแบ่งเป็นรอบละ 3 คน 3 ชุด โดยระหว่างการสอบปากคำขออนุญาตไม่ให้สื่อเก็บบันทึกเสียง เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อชาวบ้านกับทางอำเภอ แต่หลังการให้ปากคำสามารถพูดคุยได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ โดยการให้ปากคำจะถูกบันทึกเอาไว้ในข้อร้องเรียนเพื่อเสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบ ก่อนมีมาตราการต่อไป
ในระหว่างที่ ปลัดอาวุโสอำเภอดงกลวง ทำการชี้แจง สังเกตว่า มีชาวบ้านประมาณ40-50 คน ที่ได้ลงชื่อขับไล่ยูทูเบอร์เดินทางมาร่วมรับฟังในศาลาวัดกกกอก ซึ่งหนึ่งในนั้นมี นางสาวิตรี-นายอยามัย-น้าแต-นายม๊อค-นางถอน-น้าฝน-น้าเสริม เดินทางมาร่วมรับฟัง พร้อมกับมีการตั้งกล้องมือถือ บันทึกคลิปเอาไว้ เพื่อจะนำไปอัปลงช่องยูทูบของตัวเอง
แต่สังเกตได้ว่าช่วงที่ตัวแทนจากอำเภอดงหลวง เดินทางมารับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้าน นอกจากสื่อที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เข้ามาติดตามทำข่าวแล้ว ไม่มีกลุ่มยูทูเบอร์ที่เป็นคู่กรณีของชาวบ้านที่ถูกขับไล่ เดินทางมาร่วมในวงรับฟังความคิดเห็นแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นของตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง จะต้องผ่านจุดคัดกรองโดยสาธารณสุขของหมู่บ้าน และสาธารณอำเภอ ที่เดินทางมาตรวจวัดอุณหภูมิ พร้อมทั้งขอให้มีการลงทะเบียน
เวลาประมาณ 10.00 น. ก่อนที่นายประหยัด คูณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงกลวง จะเดินทางมาถึงบริเวณศาลาภายในวัดกกกอก พบว่านางสาววิตรี-นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อแม่ของน้องชมพู่ ได้เดินทางมาพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว และหอบเอาเอกสาร จำนวน 20 กว่าชุด โดยเป็นเอกสารที่พบว่ามีการละเมิดสิทธิ์ และโพสต์จนกระทั่งทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหาย โดยเป็นพฤติกรรมของกลุ่มยูทูเบอร์ รวมถึงเพจและเฟซบุ๊ก โดยนางสาวิตรี ได้เก็บบันทึกข้อมูล และปริ้นเอกสารทั้งหมดออกมา เพื่อนำมายื่นขอความเป็นธรรมต่อตัวแทนที่ว่าการอำเภอดงหลวง
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ บอกว่า กลุ่มยูทูเบอร์และเพจ รวมถึงผู้ใช้เฟซบุ๊ก เริ่มเข้ามาคุกคาม ทำให้ครอบครัวตนได้รับความเสียหาย โดยมีการจับผิด และแชร์เรื่องราวข้อมูลที่ผิด สร้างข่าวหรือข้อมูลบิดเบือน เช่นเรื่องถุงมือ เรื่องการให้สัมภาษณ์ เรื่องสีหน้าท่าทาง หรือแม้แต่คำพูดที่ไม่ตรงกันแต่ละครั้ง โดยตนถูกกลุ่มเหล่านี้จับผิด และโจมตีมาโดยตลอด จึงได้มีการรวบรวมและเก็บเป็นหลักฐาน เพื่อจะร้องเรียนต่อนายอำเภอ ที่ได้เดินทางมารับฟังความเห็นในวันนี้
มากไปกว่านั้น กลุ่มยูทูเบอร์ได้เข้ามาไลฟ์สด พร้อมกับทำคลิปสำรวจร้านแม่ชมพู่ และมีการโจมตีเรื่องของราคา นำไปพูดในทางลบ จนทำให้ตนขาดรายได้ ขายของไม่ได้ เพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน หรือแม้แต่ไปคุกคามคนในครอบครัว เช่น น้าแต น้าฝน โดยอ้างว่าคนในครอบครัวมีส่วนรู้เห็นการตายของน้องชมพู่ ทั้งที่คดีกำลังเดินต่อไป
นางสาวิตรี บอกว่า ตนยอมรับเป็นหนึ่งในบุคคลที่ลงชื่อขับไล่ยูทูเบอร์ ซึ่งลงชื่อพร้อมกับพ่อน้องชมพู่ ซึ่งต้องการให้ยูทูเบอร์ออกไปจากหมู่บ้าน เนื่องจากที่ผ่านมารบกวนและคุกคามตนมาโดยตลอด เป็นไปได้ก็อยากให้ทางอำเภอดงหลวงเข้ามาจัดการ และเชิญให้กลุ่มยูทูเบอร์ออกไปจากหมู่บ้าน แต่กรณีชาวบ้านบางคนที่เปลี่ยนตัวเองกลายมาเป็นยูทูเบอร์ ตนคิดว่าเป็นเรื่องของการหารายได้ และเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่การไลฟ์สดหรือการนำเสนอ ก็จะเป็นเรื่องราววิถีชีวิต ทำไร ทำนา ทำสวน ซึ่งก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับคดี หรือเข้ามาคุกคามคนอื่น
ดังนั้นยูทูเบอร์จากภายนอกควรที่จะต้องออกไปจากหมู่บ้าน แต่ยูทูเบอร์ของชาวบ้านเองก็ถือว่าใช้ชีวิตได้ตามปกติ “ชาวบ้านกลุ่มนั้นไม่ได้ทำให้ชีวิตใครเดือดร้อน แม่ก็ไม่ว่า แต่กลุ่มยูทูเบอร์ข้างนอก ที่เข้ามามาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน จำเป็นต้องออกไป”
หลังจากให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับทีมข่าวเสร็จ ได้เดินทางไปตรวจวัดอุณหภูมิบริเวณจุดคัดกรองผู้เข้าร่วมงาน และเข้าไปภายในศาลาของวัด โดยนางสาวิตรี นั่งข้างน้าแต ส่วนนายอนามัยนั่งอยู่แถวหน้าสุด
แต่ระหว่างที่นางสาวิตรี แม่ของน้องชมพู่ กำลังจะเดินเข้าไปภายในศาลา ได้สอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอดงหลวง ว่า ตนในฐานะอสม. ทราบข่าวว่าทนายตั้ม กำลังจะเดินทางมาได้วันจันทร์ ตนไม่ได้ขัดแย้งหรือขัดขวาง และไม่ติดใจอะไร แต่เพียงขอให้สาธารณสุข ได้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด หรือหากเป็นไปได้อยากให้กักตัว 14 วัน เพราะทนายตั้ม เดินทางมาจาก จ.สมุทรสาคร เป็นหนึ่งในจังหวัดเสี่ยงการระบาดโควิด-19
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนางแตงโม (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก ซึ่งเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าไปให้ข้อมูลกับตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง กรณีมีการลงชื่อขับไล่กลุ่มยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้าน
นางแตงโม บอกว่า ตนเป็นหนึ่งในบุคคลที่ลงรายชื่อขับไล่ยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้าน โดยตนไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เป็นเพราะว่ากลุ่มยูทูเบอร์มีการคุกคาม และปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ต่อพระที่ตนเคารพนับถือ จึงได้ออกมาลงชื่อขับไล่ครั้งนี้
ทั้งนี้มีหลายครั้ง ที่ตนในฐานะเป็นคนให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี ทั้งการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว และยังเป็นการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกลุ่มยูทูเบอร์บางคน ได้ไลฟ์สดรวมถึงถ่ายคลิป ซึ่งมีการเปิดเผยใบหน้าของตนลงสู่โลกออนไลน์
นากจากนี้ ยังมีการเปิดเผยว่า “คนนี้แหละคือแม่แตงโม” ทำให้กลุ่มที่เป็นแฟนคลับของลุงพล เวลามาเที่ยวกกกอก ก็จะแวะที่หน้าร้านขายผลไม้ มีการดูถูก เหยียดหยาม หรือแม้แต่หยิบสินค้าขึ้นมาแล้วก็วางลงต่อหน้า พร้อมกับพูดว่า “นี่เหรอ นางแตงโม ที่ใส่ร้ายลุงพล” ดังนั้นด้วยการกระทำของกลุ่มยูทูเบอร์ที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ภายหลังนายประหยัด คูณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงหลวง พร้อมด้วย สาธารณะสุขอำเภอดวงหลวง สารวัตรใหญ่กกตูม และทีมฝ่ายปกครอง ได้สอบปากคำกลุ่มชาวบ้านที่ลงชื่อขับไล่ยูทูเบอร์เสร็จสิ้นที่วัดกกกอกแล้ว ได้เดินทางมาที่บ้านลุงพล โดยขณะที่กลุ่มตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง มาถึง ขณะนั้นลุงพลได้เดินทางออกไปทำธุระในตัวเมือง จึงมีเพียงป้าแต๋น อยู่กับกลุ่มยูทูเบอร์บางส่วน
นายประหยัด คูณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงหลวง ได้เข้าไปพูดคุยกับป้าแต๋น พร้อมทั้งได้อธิบายเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของชาวบ้าน ต่อผลกระทบที่ยูทูเบอร์เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
โดยระหว่างการพูดคุยก็ไม่ได้มีเหตุรุนแรงหรือเหตุปะทะ ซึ่งกลุ่มยูทูบเบอร์พร้อมด้วยป้าแต๋น อนุญาตให้ตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง เข้าไปดูสภาพความเป็นอยู่ ซึ่งอยู่บริเวณสวนยางหลังบ้านลุงพล
จากนั้นตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง ยังได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของที่ดิน และอธิบายรวมถึงเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวร้องเรียน ที่มีชาวบ้านแจ้งไปยังที่ว่าการอำเภอ ให้เข้ามาตรวจสอบดูแล รวมทั้งขอความร่วมมือ ให้มีการลงทะเบียนเรื่องของโรคระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะบุคคลที่ผ่านเข้าออก และให้มีการลงชื่ออย่างชัดเจนเกี่ยวกับตัวบุคคล ในการที่จะติดตามตัวได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งให้เจ้าของที่ดิน ให้ความร่วมมือกับทางผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากที่ตัวแทนจากที่ว่าการอำเภอดงหลวง โดยปลัดอาวุโส มีการเยี่ยมพูดคุยกับกลุ่มยูทูเบอร์แล้ว ก็ได้พากันเดินทางกลับ และทางอำเภอดงหลวง จะมีการนัดหมายในวันจันทร์ เพื่อให้กลุ่มตัวแทนยูทูเบอร์พร้อมทั้งลุงพล-ป้าแต๋น เข้าไปพูดคุยกรณีเรื่องร้องเรียนดังกล่าว เพื่อหาแนวทางอยู่ร่วมกันในชุมชน หรือออกระเบียบให้ไม่กระทบชาวบ้านในพื้นที่
วิถีชีวิตยูทูเบอร์ที่ติดตามลุงพล 1.เฝ้าหน้าบ้านลุงพล เช้า-กลางวัน-เย็น 2.กลางคืนผลัดเวรดูความเคลื่อนไหวลุงพล เพื่อจะได้ถ่ายคลิปทันท่วงที
3.ถ่ายภาพบุคคลที่มาหาลุงพล 4.ส่งเสียงเชียร์เอาใจลุงพลทุกครั้งที่ถ่ายคลิป 5.กรณีลุงพลไม่ให้สัมภาษณ์ เหล่ายูทูเบอร์จะบุกไปถ่ายผู้อื่น และวิถีชีวิตชาวบ้าน 6.ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของลุงพล หากไม่ทำตามจะถูกกดดันให้พ้นจากกกกอก
ส่วนสิ่งของประจำกายของเหล่ายูทูเบอร์ ที่ใช้เป็นอุปกรณ์ถ่ายติดตามชีวิตลุงพลนั้น ประกอบไปด้วย โทรศัพท์มือถืออย่างน้อย 2 เครื่อง ไม้เซลฟี่และขาตั้งกล้อง สายชาร์จแบตเตอรี่ เต็นท์และเครื่องนอน เงินสำหรับค่าที่พัก