เมื่อวันที่ 22 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมาแจ้งความเอาผิดนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล กับพวก ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวน มาตรา 14 จากการครอบครองไม้มะค่าแต้หวงห้าม การก่อสร้างวังพญานาค และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ทำให้ป่าสงวนเสื่อมเสียสภาพ พร้อมนำหลักฐานพิกัดที่ตั้งของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในเขตป่าดงภูพาน จ.มุกดาหาร มาประกอบการแจ้งความ
นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นป่าสงวน กฎหมายระบุไว้ว่าห้ามเปลี่ยนมือ แต่ลุงพลให้สัมภาษณ์สื่อว่าได้ซื้อต่อจากปู่ในราคา 1.5 แสนบาท ซึ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากที่ดินลักษณะนี้จะมอบให้ลูกหรือทายาทได้เท่านั้น อีกทั้งที่ดินทุกแปลงในหมู่บ้านกกกอกเป็นป่าสงวน ไม่มีเอกสารสิทธ์แต่อยู่ในระเบียบกรมป่าไม้ที่ให้อยู่อาศัยหรือทำการเกษตรได้ ก่อนปี 2541 แต่ลุงพลเพิ่งเข้าพักอาศัยปี 2557 และก่อสร้างพญานาคปี 2563
ทั้งนี้ตนยืนยันไม่ได้แจ้งความมั่วซั่ว เพราะเห็นถึงประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลัก เนื่องจากลุงพลยังอ้างว่ามีต้นตะเคียนไหลมาตามแม่น้ำ ก่อนนำขึ้นมาให้คนกราบไหว้บูชา มีนางรำ ถือเป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะตรวจสอบแล้วเป็นไม้มะค่าหนาม แต่หลังโดนกรมป่าไม้ยึดไปก็ไม่หยุด ยังอ้างว่าเจ้าแม่ตะเคียนโสรภีได้ย้ายมาอยู่ที่ท่อนไม้อีกท่อนในศาล หลอกประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การสร้างพญานาค ก็ไม่ได้ขออนุญาตจากกรมป่าไม้ ไม่มีวิศวกรควบคุมงาน หากล้มทับคนตายใครจะรับผิดชอบ ถือเป็นการสร้างความงมงายต่อประชาชน เอาความเชื่อความศรัทธาประชาชนมาแสวงหาผลประโยชน์
พันตำรวจเอก กฤษณะ สุขสมบูรณ์ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังจากนี้จะนำเอกสารหลักฐานที่ได้จากนายอัจฉริยะ ไปตรวจสอบ ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่เเล้ว ในขณะนี้มีเเนวโน้มว่าสอดคล้องกับข้อมูลของนายอัจฉริยะ หากเข้าข่ายความผิดจริง ก็จะออกหมายเรียกนายไชย์พล เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปทส. คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน
ขณะที่พันตำรวจเอก ธณัชชนม์ เก่งกสิกิจ ผู้กำกับการ กองกำกับการ 3 บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อธิบายกับสื่อมวลชนว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่อุทยานเเห่งชาติภูผายล เเต่เป็นเขตป่าสงวนเเห่งชาติ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการทำกินเท่านั้น ซึ่งหากมีการซื้อขายจะมีความผิด ไม่สามารถกระทำได้
ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้เจอกับ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงเขยของน้องชมพู่ ซึ่งได้ใช้ค้อนและตะปู กำลังตกบริเวณหน้าอกของพญานาค เตรียมสำหรับบรรจุหัวใจพญานาคที่เพิ่งได้รับมาจากวัดถ้ำผาป่อง โดยต้องมีการสกัดเศษปูนออกให้ลึกเข้าไป เพื่อสามารถบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็ก และบรรจุหัวใจพญานาคเข้าไปได้
จากนั้นลุงพล ได้ชวนทีมข่าวขึ้นไปด้านบนพญานาค เพื่อสำรวจความเรียบร้อย ของการจัดสร้าง พร้อมทั้งพาไปดูจุดที่นำเหล็กไหลไปวางไว้บริเวณลิ้น และให้สัมภาษณ์อยู่บริเวณด้านบนพญานาค
ลุงพล เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัจฉริยะ ได้ร้องเรียนไปยังกรมป่าไม้ ให้มีการเอาผิดกรณีการจัดสร้างพญานาคในพื้นที่เขตภูพาน ว่า เรื่องนี้ตนก็ไม่ได้มีความกังวลอะไร โดยยังคงเดินหน้าสร้างพญานาค เพราะเกิดจากแรงศรัทธา และปัจจัยของกลุ่มที่เลื่อมใสศรัทธาพญานาค โดยหากจะสั่งให้ทุบหรือทำลาย ก็ต้องปรึกษากับทีมทนาย และนักกฎหมาย ว่ากรณีการจัดสร้างมีความผิด หรือจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากนี้
และล่าสุดองค์พญานาค ก็ได้มีการบรรจุหินเหล็กไหล และหินแร่ธาตุต่าง ๆ ที่กลุ่มผู้ศรัทธาได้นำมามอบให้ ตอนนี้ได้นำหินเหล็กไหลล่าสุดที่พระอาจารย์พล นำไปลงอักขระ และสวดมนต์เชิญปู่ศรีสุทโธ ได้นำมาบรรจุเอาไว้บริเวณลิ้นของพญานาคแล้ว ซึ่งหินเหล็กไหลได้มีนางพันทิพย์ ข้าราชการเกษียณอายุงาน นำหินเหล็กไหลมาจากถ้ำเขาเขาอึมครึม จ.กาญจนบุรี มามอบให้
ส่วนบริเวณด้านหลังพญานาค ได้บรรจุหินแร่ธาตุ บรรจุเอาไว้อีกจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นหินที่ได้รับมาจากนางพันทิพย์ ข้าราชการเกษียณอายุ และล่าสุดเมื่อวานนี้ตนได้เดินทางไปอัญเชิญหัวใจพญานาคสีชมพู มาจากวัดถ้ำผาป่อง จากพระอาจารย์แจ๋ว โดยตอนนี้เตรียมที่จะนำมาบรรจุบริเวณหน้าอกของพญานาค และก่อนที่จะบรรจุหัวใจสีชมพูโปร่งใสเข้าไปด้านในจะใส่พระพุทธรูปเข้าไป 1 องค์ ซึ่งจะเป็นปางชนะมาร ตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดหา ส่วนบริเวณตาทั้ง 2 ข้าง ได้บรรจุแร่เหล็กไหลเข้าไปแล้ว ซึ่งได้รับมาจากชาว จ.ขอนแก่น และแม้ว่าตอนนี้จะมีผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายคน ติดต่อจะให้หัวใจพญานาคมา ตนเตรียมที่จะนำมาบรรจุใส่บริเวณหน้าอกทั้งหมด เพราะจุดดังกล่าวยังเปิดเป็นช่องว่างเอาไว้ ยังไม่มีการฉาบปูนปิด
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายชัน ช่างปั้นพญานาค เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการสร้างพญานาคบ้านลุงพล ตอนนี้มีความคืบหน้าประมาณ 40-50% ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการติดเกล็ด และทำลวดลายบริเวณหลังของพญานาค โดยตอนนี้มีช่างทำ 5 คน ช่วยกันแบ่งงานกันทำ โดยตนจะรับผิดชอบส่วนหัวและหาง เพราะมีรายละเอียดมากกว่า แต่คนอื่นก็จะเข้ามาช่วยเติมและเก็บรายละเอียด โดยในจำนวน 5 คน ไม่มีใครเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง เพราะส่วนใหญ่ทำงานเท่ากัน และได้รับเงินส่วนแบ่งเท่ากัน
ที่ผ่านมาตนเคยมีประสบการณ์การปั้นพญานาคมาแล้วกว่า 8 องค์ ภายใต้ประสบการณ์กว่า 8 ปี แต่ส่วนใหญ่จะทำพญานาคองค์เล็ก ซึ่งยอมรับว่าจะยากกว่าองค์ใหญ่ เนื่องจากมีรายละเอียดที่เล็ก และต้องชัดเจนกว่าองค์ใหญ่ ซึ่งองค์ใหญ่สามารถปั่นได้ง่าย แต่เพียงใช้เวลานานเท่านั้น และที่ผ่านมาก็จะรับงานภายในพื้นที่ จ.สกลนคร และ จ.มุกดาหาร โดยจะรับงานวัดและจุดที่มีการสร้างพญานาค โดยกลุ่มช่างของตนเพิ่งจะรับงานที่วัดดานพระอินทร์ ซึ่งเป็นวัดพญานาคองค์ต้นแบบที่นำมาปั้นข้างบ้านลุงพล ก่อนหน้านี้ตนก็ยังรับงานอยู่ แต่ต้องหยุดชั่วคราว เพราะต้องมาช่วยงานปั้นที่บ้านลุงพลให้เสร็จก่อน จากนั้นก็จะกลับไปปั่นที่วัดดานพระอินทร์ดังเดิม
สำหรับเรื่องของค่าตอบแทน ตกลงว่าจ้างกัน 3 งวด รวมเป็นเงิน 600,000 บาท ซึ่งตอนนี้ได้รับไปแล้ว 2 งวด งวดละ 200,000 บาท โดยหลังจากที่เก็บงานและรายละเอียด เสร็จสิ้นแล้วก็จะได้รับค่าจ้างอีกงวดหนึ่งที่เหลือ
กรณีที่ลุงคนได้มีการสร้างพญานาคองค์ใหญ่เอาไว้ใกล้บ้าน แล้วล่าสุดด้านของนายอัจฉริยะ เตรียมที่จะแจ้งความดำเนินคดี การสร้างพญานาคในพื้นที่ป่าไม้นั้น
ล่าสุดวันที่ 22 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่วัดดานพระอินทร์ จ.มุกดาหาร พบกับพระอธิการอนุชา (พล) อธิปัญโญ เจ้าอาวาสวัดดานพระอินทร์ ในฐานะกุนซื่อของลุงพล เปิดเผยว่า การทุบทำลายพญานาคหรือจะรื้อถอน เป็นเรื่องทางกฏหมาย ถ้าผิดก็ต้องทุบทำลาย แต่เท่าที่ตนทราบ หมู่บ้านและสิ่งก่อสร้างหลาย ๆ อย่างในหมู่บ้านกกกอก ก็อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูพานทั้งหมด
ดังนั้นมีความจำเป็นต้องรื้อถอน หรือให้ออกพื้นที่ด้วยหรือไม่ ถ้าสมมติไม่ต้องรื้อถอน จะเรียกว่าเจ้าหน้าที่ เลือกปฏิบัติหรือไม่ ส่วนการรื้อถอนทำได้อย่างเดียวคือ “ทุบทิ้ง” ไม่สามารถยกเคลื่อนย้าย หรือยกชิ้นส่วนไปประกอบใหม่ที่อื่นได้ เนื่องจากมีการวางรากฐานลงไปในดิน ลึกกว่า 7 เมตร สูง 7 เมตร และที่สำคัญเป็นผลงานปูนสด ปั้นด้วยมือ สิ่งเดียวคือทุบทิ้งเท่านั้น ย้ายไม่ได้
ขณะที่การบรรจุหัวใจพญานาค หรือ หินเหล็กไหล ที่ลิ้นพญานาค ลุงพลสามารถบรรจุเข้าไปในตัวองค์พญานาคได้ทันที เพราะผ่านพิธีแล้ว จากนั้นก็ทำพิธีบวงสวงอีกเล็กน้อย ก็จะเสร็จสิ้นพิธี แต่หากกรมผ่าไม้ แจ้งให้ทุบทำลาย หัวใจพญานาค และเหล็กไหล ก็ขึ้นอยู่กับว่าลุงพล จะมอบให้ใคร หรือคืนไปให้วัดที่ได้เชิญมาแต่แรก ส่วนเรื่องหินเหล็กไหลที่ให้เอาไปบรรจุใส่ลิ้นองค์พญานาค ถ้าทุบจริงก็ไม่จำเป็นต้องเอามาคืนตน เนื่องจากเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง เอามาให้ลุงพล โดยลุงพลเอามาให้ตนสวดคาถาเท่านั้น ไม่ใช่หินของตัวเอง
ส่วนเมื่อคืนนี้ ปรากฏภาพของลุงพล เหล่ายูทูเบอร์ และชาวบ้านบางคน ร่วมแต่งกายชุดขาวห่มขาว นั่งสวดมนต์วันพระใหญ่กับลุงพลนั้น เป็นสิ่งที่อาตมาแนะนำให้ลุงคนทำเป็นประจำทุกวันพระใหญ่ โดยได้มอบหนังสือธรรมะและหนังสือสวดมนต์ให้ไป 1 เล่ม โดยเป็นบทสวดอิติปีโส ซึ่งให้ลุงพลได้มีการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ความจริงแล้วตนต้องการที่จะให้ลุงพลมาร่วมสวดมนต์ด้วยกันที่วัดดานพระอินทร์ แต่เป็นเพราะระยะทางการเดินทางค่อนข้างไกล ทำให้จึงต้องแยกกันสวดมนต์
ในวันนี้ได้มีการนัดหมายกับลุงพล พร้อมทั้งกลุ่มยูทูเบอร์ จะมีการประกอบพิธีบวช นุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรม 3 วัน 5 วัน 7 วัน ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ที่เข้าร่วมบวช โดยการบวชเพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมสร้างบารมี และทำให้ตัวของลุงพลมีความใจเย็นมากขึ้น แต่การบวชแต่ละครั้ง มักจะมีปัญหาติดขัด เช่น วันนี้ ลุงคนตั้งใจจะเดินทางมาที่วัดเพื่อเข้าร่วมพิธีบวชขาว แต่ติดปัญหาต้องรอเจอกับทางตัวแทนอำเภอดงหลวงเรื่องยูทูเบอร์ และลุงพลต้องเดินทางไปซื้อสีเพื่อมาทาให้องค์พญานาค จึงไม่ได้มาบวชขาววันนี้
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ลุงพลทะเลาะกับนักข่าว โดยวันนั้นลุงพลตั้งใจที่จะเดินทางมาบวชที่วัด แต่ระหว่างที่ออกเดินทางมาแล้ว มีกลุ่มยูทูเบอร์โทรบอกลุงว่า “สะพานทรุด” ประกอบกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาตรวจสอบไม้ตะเคียน จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ถูกขัดขวางเรื่องการบวช แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาตมาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สังเกตได้ว่าทุกครั้งที่ตั้งใจ ก็มักจะมีอุปสรรคติดขัดตลอด
นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงเขยน้องชมพู่ เปิดเผยกรณีที่มีการนุ่งขาวห่มขาวว่า ตนมักจะมีการปฎิบัติธรรม และพากันสวดมนต์ทุกคืนวันพระ โดยเฉพาะขึ้น 8 ค่ำและ 15 ค่ำ โดยจะมีการสวดบทอิติปิโส พร้อมทั้งบทสวดอื่น ๆ ที่เป็นการสรรเสริญพระพุทธเจ้า และยังมีการแผ่เมตตา โดยจะเป็นการท่องสวดตามหนังสือ ซึ่งในบทไหนที่ตนท่องได้ก็จะท่องนำ บทไหนที่ท่องไม่ได้ใครท่องเป็นก็จะท่องนำ ซึ่งจะใช้วิธีนี้สลับสับเปลี่ยนกัน โดยการสวนมนต์ ก็เป็นการปฏิบัติต่อเนื่อง แต่ไม่มีความหมายอะไร
ส่วนเรื่องของการบวชนุ่งขาวห่มขาว ความจริงแล้ววันนี้เตรียมที่จะเดินทางไปบวชกับพระอาจารย์พล ที่วัดดานพระอินทร์ แต่ด้วยมีภารกิจจึงไม่สามารถเดินทางไปบวชได้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าหลายครั้งที่ตั้งใจจะไปบวช ก็มักจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวาง แต่ก็ยังไม่ย่อท้อ ซึ่งหากทุกอย่างดีขึ้น หรือคลี่คลายแล้ว ยังคงตั้งบ้านว่าจะไปบวชให้ได้ และสำหรับการบวช ไม่ใช่ว่าใครจะบวชก็ได้ ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมและสถานการณ์
