กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจาก รพ.ทุ่งใหญ่ ว่าน.ส.ปารวีย์ ธรณีบาล หรือ ก้อย อายุ 25 ปี ชาว จ.กระบี่) ถูกนายอนุรักษ์ ขวัญกลับ หรือ เสือ อายุ 32 ปี ผู้เป็นสามี ทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ด้วยการใช้เหล็กแทงปาล์ม ยาวประมาณ 1 เมตร ฟาดเข้าที่บริเวณใบหน้าบริเวณหางคิ้วขวา (แผลเปิดขนาดใหญ่) ใต้ตาซ้าย หน้าผาก หัวไหล่ด้านหลัง และลำคอ 2-3 แผล
ทั้งนี้ญาตินำส่งตัวที่ รพ.ทุ่งใหญ่ เนื่องจากใกล้บ้าน เบื้องต้นแพทย์ได้สแกนสมองและส่งตัวไปรักษาอาการสาหัสที่ รพ.ทุ่งสง และส่งต่อไปรักษาตัวที่ รพ.มหาราช
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งใหญ่ ก็ได้ประสานมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาพนม จ.กระบี่ เจ้าของพื้นที่ในที่เกิดเหตุ เป็นผู้รับผิดชอบด้านคดีต่อ โดยล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาพนม สามารถควบคุมตัวนายอนุรักษ์ พร้อมแจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา อีกทั้งยังตรวจพบสารเสพติดในร่างกาย คาดว่าน่าจะนำตัวไปฝากขังในวันถัดไป
ล่าสุดวันที่ 24 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมายังบ้านที่เกิดเหตุ พบว่าภายในบ้านได้เช็ดคราบเลือดออกหมดแล้ว แต่รถกระบะ ทะเบียน บร 1121 นครศรีธรรมราช ที่นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ยังคงพบคราบเลือดติดอยู่บริเวณเบาะข้างคนขับ
ทีมข่าวก็ได้พูดคุยกับ นายอำพันธ์ ช่วยนาค อายุ 56 ปี เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามถนน ที่อยู่ห่างออกไป 50 เมตร ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือน.ส.ปารวีย์ ผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ชาวบ้านต่างรู้ดีว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนติดยาเสพติดและชอบดื่มน้ำกระท่อม แต่ปกติผู้ก่อเหตุเป็นคนเงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร และไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน ชาวบ้านจึงไม่หวาดระแวง
โดยตนที่อาศัยอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านที่เกิดเหตุ ระยะห่างประมาณ 50 เมตร ก็มักจะได้ยินเสียงผู้ก่อเหตุทะเลาะกับผู้บาดเจ็บนาน ๆ ครั้ง เมื่อคืนวันที่ 23 ม.ค.64 ตนได้มาร่วมงานศพของคนในหมู่บ้าน และได้กลับเข้าบ้าน เวลา 19.30 น. ขณะนั้นผู้บาดเจ็บได้วิ่งเลือดท่วมตัวข้ามถนนมาหาตน ตะโกนว่า “น้าพันธ์ช่วยที ๆ พี่เสือฟันหนู ตนก็ค่อนข้างจะตกใจ เนื่องจากผู้บาดเจ็บมีแผลลึกบริเวณหางคิ้วขวาและใต้ตาซ้าย ส่วนตามตัวและหัวไหล่ด้านหลังก็มีแผลเช่นกัน แต่ตนไม่ได้ทันสังเกตว่าแผลลึกแค่ไหน
ทั้งนี้ตนได้รีบจูงผู้บาดเจ็บข้ามถนนกลับมายังบ้านที่เกิดเหตุ พร้อมขับรถกระบะของเจ้าของบ้าน (พ่อผู้ก่อเหตุ) ขับไปส่งผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยขณะนั้นผู้ก่อเหตุก็ได้วิ่งตัดหน้ารถออกจากบ้าน โดยอุ้มลูกสาววัย 3 ขวบ ออกไปด้วย
เมื่อตนส่งผู้บาดเจ็บถึงโรงพยาบาล ตนก็ได้รีบกลับมายังหมู่บ้าน เพื่อช่วยชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นหาตัวผู้ก่อเหตุ โดยไปพบว่าหลบซ่อนอยู่ในบริเวณป่ายาง ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุมากนัก ตนค่อนข้างที่จะเป็นห่วงอาการของผู้บาดเจ็บ เนื่องจากถูกฟันหลายแผล และคาดว่ากระดูกน่าจะร้าวร่วมด้วย ขณะนี้ชาวบ้านอยากให้ผู้ก่อเหตุบำบัดอาการติดยาเสพติด เพราะไม่อยากให้ผู้ก่อเหตุก่อเหตุเช่นนี้อีก
ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบปมปัญหาการทะเลาะกัน เนื่องจากนายอนุรักษ์ ยังคงอยู่ในอาการเมายาเสพติด ไม่ได้สติ ส่วนน.ส.ปารวีย์ ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ กับญาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนลูกชายและลูกสาวบอกกับครอบครัวและผู้สื่อข่าวเพียงว่า "พ่อทำร้ายแม่ ๆ"
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบุญช่วย ขวัญกลับ อายุ 56 ปี พ่อของผู้ก่อเหตุ เล่าว่า วันที่ 23 ม.ค.64 ตนและภรรยาได้เดินทางไปร่วมงานศพญาติในหมู่บ้าน โดยในบ้านเหลือเพียงลูกชายตน ลูกสะใภ้ และหลานชายวัย 5 ขวบ และหลานสาววัย 3 ขวบ กระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น. ตนกลับมาถึงบ้านและพบกับกองเลือดติดตามพื้น เสาบ้าน และกำแพง
เมื่อตรวจดูรอบบ้านพบว่ารถกระบะของตนหายไป ตนจึงได้สอบถามกับหลานชายวัย 5 ขวบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทราบว่านายอำพันธ์ เพื่อนบ้าน ได้พาลูกสะใภ้ของตนไปยังโรงพยาบาล เนื่องจากถูกลูกชายของตนใช้มีดฟัน โดยหลังก่อเหตุ ลูกชายของตนได้อุ้มหลานสาววัย 3 ขวบ หนีออกไปด้วย
ทั้งนี้ตนจึงได้แจ้งไปยังผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และชาวบ้าน ให้ช่วยกันออกค้นหา จึงพบว่าลูกชายของตนแอบหนีเข้าไปหลบอยู่ในบ้านของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งขณะที่ทุกคนกำลังล้อมจับลูกชายตน ตนได้เจรจาขอหลานสาวคืน ก่อนที่ลูกชายตนจะหนีเข้าไปในป่ายาง จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไล่ตามจับกุมและยิงปืนขู่ 1 นัด ทำให้ลูกชายตนยอมมอบตัวในเวลาประมาณ 23.00 น.
อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่ขึ้น ทราบว่าลูกชายเสพยาเสพติด และมักจะเตือนให้เลิกอยู่เสมอ แต่ปกติลูกชายแม้จะมีปากเสียงกับลูกสะใภ้ แต่ก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายลูกสะใภ้ อาการของลูกสะใภ้ยังคงน่าเป็นห่วง แต่ขณะนี้ปลอกภัยแล้ว คาดว่าน่าจะต้องใช้เวลารักษาตัวสักระยะ ประมาณ 1 เดือน ตนขอยืนยันว่าจะไม่มีการประกันตัวลูกชาย เนื่องจากอยากให้ลูกชายชดใช้ความผิด และบำบัดอาการติดยาเสพติด โดยตนจะดูแลลูกสะใภ้และหลาน ๆ ต่อไป
