จากกรณีนายเวียน เอียดชูทอง อายุ 60 ปี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายประกอบ ชูทอง อายุ 54 ปี และ นายยอด แซ่หลี อายุ 54 ปี บริเวณหน้าบขส.แห่งที่ 2 ภูเก็ต จนเสียชีวิต เมื่อกลางดึกของวันที่ 23 ม.ค.64 ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันที่ 25 ม.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต ได้พาตัวนายเวียน ผู้ต้องหา ในข้อหา 1.ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ 2.พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ในสถานที่เกิดเหตุ ในช่วงเวลาประมาณ 09.30 น.
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นายเวียน ชี้จุดยิงนายประกอบ และทำท่านั่งรอมอบตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ได้พาไปชี้จุดที่ยิงนายยอด เพียงให้ยืนชี้จากจุดที่นั่งรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหาจุดที่ยิงนายยอด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พาตัวนายเวียนขึ้นรถกระบะกลับ สภ.เมืองภูเก็ต ทราบภายหลังว่านายเวียน อ้างว่าจำรายละเอียดที่ยิงนายยอดไม่ค่อยได้
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาตัวนายเวียนขึ้นรถกลับนั้น ทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายเวียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิ เอาปืนมาจากที่ใด เก็บปืนไว้ที่ไหน ทำไมต้องยิงนายยอด ปมการก่อเหตุคืออิจฉาลูกน้องเก่าใช่หรือไม่ แต่นายเวียนก็ไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น
จากนั้นในช่วงเวลา 12.00 น. ทีมข่าวได้เดินทางมายัง รพ.วชิระภูเก็ต และได้พูดคุยกับนางกำจาย ชูทอง อายุ 60 ปี ภรรยาของนายประกอบ ซึ่งในวันนี้ทางครอบครัวได้เดินทางมารับร่างของนายประกอบกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเสม็ดจวน อ.ลำทับ จ.กระบี่ บ้านเกิดของนายประกอบ และจะมีพิธีฌาปนกิจวันเสาร์ที่ 30 ม.ค.64
นางกำจาย บอกว่า สามีเป็นคนใจดี เพื่อน ๆ รักใคร่ ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นคนกว้างขวาง เป็นที่เคารพของคนทั่วไปในบขส. รวมถึงสามีของตนด้วย แต่ตนไม่ทราบว่าทั้งคู่สนิทสนทกันมากแค่ไหน ตนเจอและพูดคุยกับสามีครั้งสุดท้ายในช่วงเย็นของคืนวันเกิดเหตุ ก่อนสามีจะเดินทางมาที่บขส. แต่ไม่มีลางบอกเหตุอะไรมาก่อน ส่วนปืนที่เจ้าหน้าที่พบว่าเหน็บอยู่ที่เอวสามีของตน ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีมีปืน
ทั้งนี้สามีของตนเป็นเสาหลักของครอบครัว ลูกสาวก็เพิ่งจะตั้งตัวทำงานผ่อนบ้านผ่อนรถ ขาดสามีไป ตนก็ไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ตนไม่รู้สาเหตุของการก่อเหตุ ตนถามใครในบขส.ก็ไม่มีใครรู้ ตนอยากจะถามผู้ก่อเหตุว่าทำทำไม และอยากจะวอนเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลขอให้กำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด
โดยเมื่อให้สัมภาษณ์และรับศพเรียบร้อยแล้ว ทางครอบครัวของนายประกอบก็ได้เดินทางย้อนกลับมายังบขส.แห่งที่ 2 ภูเก็ต เพื่อมาบอกกล่าวพูดคุยกับดวงวิญญาณของนายประกอบ ณ จุดที่ถูกยิงเสียชีวิต พร้อมทั้งเก็บเอกสารของนายประกอบ ก่อนจะเดินทางกลับจังหวัดกระบี่
ขณะเดียวกันในเวลา 14.00 น. ครอบครัวของนายยอด แซ่หลี อายุ 54 ปี ผู้ตาย ก็ได้เดินทางมายัง รพ.วิชิระภูเก็ต เพื่อรับศพของนายยอดกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดท่าพญา ต.ท่าพญา อ.ปะเหลียน จ.ตรัง บ้านเกิดของผู้ตาย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.เมตตา บุญชัย อายุ 48 ปี ภรรยานายยอด และนายสิริวัช ชูศรี อายุ 33 ปี น้องชายนายยอด โดยนางเมตตา บอกว่า วันนี้ (25 ม.ค.64) ตนได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ทราบว่า ขณะทำแผนประกอบคำรับสารภาพวันนี้ นายเวียนจำเหตุการณ์ยิงตาย 2 ศพไม่ได้ ซึ่งทำให้ตนรู้สึกเจ็บแค้นใจ เนื่องจากนายเวียนจงใจยิงสามีของตน แต่กลับจำอะไรไม่ได้
ทั้งนี้ ตนพอจะประติดประต่อเหตุการณ์ได้ว่า หลังจากที่นายเวียนยิงนายประกอบแล้ว นายเวียนได้หันมาเห็นนายยอด สามีของตน บริเวณไม้กั้นหน้า บขส. นายเวียนจึงถือปืนวิ่งตรงมาหาสามีของตน สามีของตนที่เห็นปืนในมือของนายเวียน จึงรู้สึกตกใจแล้ววิ่งหนีไปยังข้างตึก ซึ่งเป็นที่จอดคิวรถแท็กซี่ แต่นายเวียนยังคงไม่ลดละความพยายามที่อยากจะฆ่าสามีของตน นายเวียนยังคงวิ่งไล่สามีของตน กระทั่งสามีของตนวิ่งกลับมาตรงบริเวณไม้กั้นหน้า บขส. นายเวียนก็ได้ยิงปืนเข้าที่ขาขวาของสามีตน 1 นัด จากระยะไกล จากนั้นนายเวียนก็ได้เข้าประชิดตัวเข้ามายิงซ้ำบริเวณลำตัว 2 นัด และศีรษะอีก 1 นัด รวมทั้งหมด 4 นัด
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม และเป็นการไตร่ตรองที่จะฆ่าไว้ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้น นายเวียนคงจะไม่วิ่งไล่ยิงสามีของตนแบบนี้ ตนยังคงโกธรผู้ก่อเหตุ เนื่องจากวันที่ 24 ม.ค.64 ตนได้พบกับผู้ก่อเหตุที่โรงพัก และถามผู้ก่อเหตุว่า “ทำทำไม ยอดนับถือน้ามากนะ ไม่สงสารหลานเหรอ” ซึ่งผู้ก่อเหตุได้แต่ยกมือไหว้ ไม่พูดอะไรสักคำ ตนขอดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด และจะไม่ยอมให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวเด็ดขาด ตนอยากให้ศาลเห็นใจ เนื่องจากสามีของตนเป็นเสาหลักของครอบครัว
ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ นายอภิโน (นามสมมติ) อดีตพ่อค้าในบขส. ซึ่งรู้จักผู้ก่อเหตุและผู้ตายทั้ง 2 คน เจ้าตัวได้เล่าปมการก่อเหตุของนายเวียน ผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร ให้กับทีมข่าวฟัง
นายอภิโน (นามสมมติ) เล่าว่า ตนพอจะรู้จักผู้ก่อเหตุและผู้ตายทั้ง 2 คน อยู่บ้าง โดยนายเวียนเป็นคนใจร้อน เงียบ ไม่ค่อยพูด ใจนักเลง พูดจริงทำจริง ทำให้ค่อยข้างกว้างขวาง และคนนับถือ นายเวียนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจคิวรถแท็กซี่ แต่ได้หมดวาระแล้วยกตำแหน่งให้นายยอด เป็นประธานคนใหม่ จากนั้นนายเวียน ก็ได้หันไปทำธุรกิจจองตั๋วเรือโแล้วดยสาร แต่ยังคงมีธุรกิจคิวรถแท็กซี่เล็ก ๆ อยู่ในบขส.
แต่ต่อมา นายเวียนรู้สึกไม่พอใจที่นายยอด มีลูกค้ามากกว่า อีกทั้งบางครั้งนายยอดยังตัดราคาค่าคิวรถแท็กซี่ ทำให้ลูกค้าหันเหไปใช้บริการธุรกิจของนายยอด นายเวียนเก็บความแค้นสะสมไว้เรื่อยมา ส่วนนายประกอบ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับนายเวียน แต่บางครั้งที่ลูกค้ารถแท็กซี่สู้ราคาคิวรถของนายยอดและนายเวียนไม่ไหว นายประกอบก็จะรับลูกค้าและวิ่งรถแท็กซี่เอง โดยคิดค่ารถราคาถูก คาดว่าจุดนี้อาจจะทำให้นายเวียน รู้สึกไม่พอใจที่โดนแย่งลูกค้าไปเช่นกัน
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะปมเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นจากการแย่งเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยตนคิดว่านายเวียนตั้งเป้าหมายการฆ่าไปที่นายยอด เนื่องจากนายยอดอยู่ห่างกับนายเวียนถึง 40 เมตร แต่นายเวียนยังคงวิ่งตามไปยิง อีกทั้งตนยังคิดว่านายเวียนน่าจะเตรียมตัวที่จะก่อเหตุมาก่อนแล้ว เนื่องจากปกตินายเวียนจะกลับบ้านเร็วไม่เกินเวลา 20.00 น. แต่คืนวันเกิดเหตุ นายเวียนนั่งดื่มยาดองจนกระทั่งดึก คาดว่าน่าจะดื่มย้อมใจก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ
ทั้งนี้ตนไม่รู้ว่าตนจะคาดหวังเกี่ยวกับคดีนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากนายเวียน ผู้ก่อเหตุ รู้จักกับคนในวงการสีกากี อีกทั้งตนยังคิดว่าหากนายเวียนพ้นโทษออกมา คงจะไม่มีใครต้อนรับนายเวียนแล้ว เพราะการกระทำของนายเวียนไม่มีเหตุผล ก่อเหตุด้วยปมแย่งเศษเงิน ทำตัวเหมือนคนไม่มีการศึกษา