กรณีพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เดินทางมารับพยานในคดี ประกอบไปด้วย พระอาจารย์บุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาเเอก, พ่อเเบม ชาวบ้านกกกอก, นางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาเเอก, ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม เเละนางส้มโอ (นามสมมติ) ชาวบ้านกกตูม ไปยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 จังหวัดปทุมธานี เพื่อเข้าเครื่องจับเท็จในวันที่ 18 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่งพยานกลุ่มนี้ ถือเป็นพยานสำคัญในคดี ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา หลังจากที่น้องชมพู่หายตัวไป
ส่วนนางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาเเอก ในวันที่ 11 พ.ค.63 แต่จำเวลาที่เห็นลุงพล แบบแน่ชัดไม่ได้ ขณะที่ ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม เป็นพยานที่อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ
สำหรับการเข้าเครื่องจับเท็จ วันที่ 5 ม.ค.64 มีน้องสะดิ้ง นายอนามัย และนางสาวิตรี ส่วนน้าเสริมกับน้าต่าย เข้าเครื่องวันที่ 6 ม.ค.64 น้าเเตกับน้าฝน เข้าเครื่องวันที่ 7 ม.ค.64 แต่ละคนใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนน้องสะดิ้งไม่ได้เข้าเครื่องจับเท็จ เเต่พูดคุยกับสหวิชาชีพเเทน
กระทั่งวันที่ 8 ม.ค.64 เป็นรอบของนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น และนายไชย์พล วิภา โดยป้าแต๋นถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 4 ชม. ส่วนลุงพล ถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 5 ชม.
ส่วนคนที่ 10 ครูบารัตน์ วัดป่าภูกะโล้น เข้าเครื่องจับเท็จวันที่ 18 ม.ค.64 เวลา 10.00 - 11.30 น. รวมเวลา 1.30 ชม.
คนที่ 11 พระอธิการบุญมา วัดป่าภูผาแอก เข้าเครื่องจับเท็จวันที่ 18 ม.ค.64 เวลา 12.00 - 13.45 น. รวมเวลา 1.45 ชม.
คนที่ 12 นางส้มโอ ชาวบ้านกกตูม เข้าเครื่องจับเท็จวันที่ 09.00 - 12.00 น. รวมเวลา 3 ชม.
วันที่ 13 นางดอน แม่ครัววัดป่าภูผาแอก เข้าเครื่องจับเท็จ วันที่ 19 ม.ค.64 เวลา 13.00 - 14.00 น. รวมเวลา 1 ชม.
คนที่ 14 ด.ช.ก๊วยเเจ๋ง ลูกชายนายเสริม-นางจุไรภรณ์ เข้าเครื่องจับเท็จวันที่ 20 ม.ค.64 เวลา 09.30 - 11.30 น. รวมเวลา 2 ชม.
คนที่ 15 พ่อแบม ชาวบ้านกกกอก เข้าเครื่องจับเท็จวันที่ 20 ม.ค.64 เวลา 12.00 - 17.00 น. รวมเวลา 5 ชม.
นอกจากนี้ ยังมีผู้ชายที่เข้าเครื่องจับเท็จ และมี 1 คนมีการเต้นของหัวใจจนกราฟขึ้นสูง แต่ตำรวจยังไม่ระบุว่าเป็นใคร ซึ่งในจำนวนผู้ชายที่เข้าเครื่องจับเท็จนั้น ได้แก่ น้าแต นายอนามัย นายเสริม นายไชย์พล ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ครูบารัตน์ พระบุญมา และพ่อแบม
ส่วนความหมายเส้นกราฟบนเครื่องจับเท็จ 1.อัตราการหายใจ 2.การเปลี่ยนแปลงกระแสคลื่นไฟฟ้าที่ชั้นผิวหนังจากปริมาณเหงื่อที่ปลายนิ้ว และ 3.ความดันโลหิตอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งนี้มี 1 คนที่ถูกเรียกเข้าเครื่องจับเท็จ 2 ครั้ง
ในวันที่ 8 ม.ค.64 วันที่ลุงพลเข้าเครื่องจับเท็จ ลุงพลบอกว่า "ไม่ตื่นเต้น" แต่วันที่ 26 ม.ค.64 วันที่รับทราบข้อหาทำร้ายร่างกาย ลุงพล บอกว่า "มีความตื่นเต้นเท่ากับเข้าเครื่องจับเท็จ" ส่วนนางสมพร บอกว่า "ไม่ตื่นเต้น"
ทีมข่าวลงพื้นที่วัดป่าภูผาแอก พูดคุยกับ พระบุญมา ศรีลเตโช เจ้าหน้าวาสวัดป่าภูผาแอก เปิดเผยว่า ความรู้สึกตอนไปเข้าเครื่องจับเท็จ ตนก็รู้สึกปกติ ตอบไปแบบธรรมดาเพราะเรื่องที่ตอบมันก็ผ่านมานานมากแล้ว เหมือนกับไม่มีอะไร ใจเย็นไม่ได้ใจร้อน ตื่นเต้นและกลัวนิดหน่อย ไม่มาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ถามคำถามเดิมซ้ำถึง 3 รอบ จนอาตมาชินและตอบได้ตามปกติ และอาตมาให้คำตอบไม่ต่างจากเดิม ยืนยันว่าให้การตรงกันทุกครั้ง โดยอยู่ในกระบวนการประมาณ 3 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ลุงพลถูกเชิญตัวไปให้ข้อมูลในคดีรุกป่าสงวน ยอมรับว่าค่อนข้างพูดยาก เพราะเราอยู่ในพื้นที่การดูแลของกรมป่าไม้
ทีมข่าวเดินทางไปคุยกับพ่อแบม ให้ข้อมูลว่า ขณะที่ถูกนำไปเข้าเครื่องจับเท็จนั้น ถูกถามคำถามเดิมและใช่ตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ซ้ำกัน 4-6 ครั้ง ให้การตรงกันทุกครั้ง โดยใช้เวลาในกระบวนเข้าเครื่องจับเท็จถึง 5 ชั่วโมง ซึ่งขณะที่เข้าเครื่องจับเท็จ ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือกลัวอะไร เพียงแต่รู้สึกหนาว เพราะในห้องอากาศหนาวมาก และเข้าเครื่องจับเท็จแค่ครั้งเดียว
กรณีพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟได้เอง และคงไม่สามารถพูดได้ว่าบุคคลที่ถูกนำเครื่องจับเท็จจะเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมด และยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะมีการนำใครมาเข้าเครื่องจับเท็จเพิ่มหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังข์ ประไพ หรือ "รองแต้ม" อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฉายา มือปราบหูดำ กล่าวว่า จากที่ตนได้ฟัง ผบ.ตร.แถลง ส่วนตัวคิดว่าที่ผ่านมาคดีนี้ยาวนานตำรวจน่าจะใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด เพื่อเก็บพยานหลักฐานและหาหลักฐานให้แม่นยำและรัดกุมที่สุด ซึ่งในเมื่อมีข่าวออกมาว่าเตรียมออกหมายจับ แสดงว่าตำรวจมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ที่จะไปขออำนาจศาลในการออกหมายจับ
โดยองค์ประกอบสำคัญ ในการออกหมายจับคนร้ายในคดีน้องชมพู่ ต้องใช้ 1.พยานบุคคล ที่เห็นเหตุการณ์ หรือพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง 2.พยานวัตถุ ที่เกี่ยวข้องกับคดี 3.DNA หรือ ผลทางนิติวิทยาศาสตร์ 4.เป็นพยานแวดล้อม ซึ่งอาจรวมถึง ผลจากเครื่องจับเท็จด้วย และ 5.ผลเครื่องจับเท็จ
แต่เครื่องจับเท็จ ไม่ใช่นิติวิทยาศาสตร์ แต่เป็นสรีรวิทยาศาสตร์ โดยเอาหลักวิทยาศาสตร์มาปรับใช้กับคนต้องสงสัย เพราะเวลาคนทำผิด หรือโกหก อาจจะมีอะไรบ่งชี้ทางวิทยาศาสตร์ ขึ้นมาได้ เช่นเหงื่อ หรือหัวใจเต้นเร็วมือไม้สั่น แต่หลักฐานตรงนี้ศาลจะไม่ใช้เป็นปัจจัยในการออกหมายจับ แต่ผลเครื่องจับเท็จ สามารถนำมาเป็นจิ๊กซอประกอบกับหลักฐานอื่นได้
พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายา "สารวัตรแรมโบ้" อดีตผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และอดีตสารวัตรกองปราบนครบาล มองว่า องค์ประกอบในการออกหมายจับคดีน้องชมพู่ ต้องใช้ประจักษ์พยาน ผลนิติวิทยาศาสตร์ พยานแวดล้อม และผลจากเครื่องจับเท็จ ถึงจะออกหมายจับได้ ส่วนสำคัญคือประจักษ์พยาน และผลทางนิติวิทยาศาสตร์ สำหรับเรื่องเครื่องจับเท็จ ให้ความสำคัญเป็นลำดับสุดท้าย
สำหรับประจักษ์พยาน หรือผลนิติวิทยาศาสตร์ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ตนมองว่า ทั้ง 2 อย่างสำคัญพอ ๆ กัน เราต้องแยกแยะให้ออก บางคดีใช้หลักฐานเป็นประจักษ์พยานได้เลย มีพยานเห็นชัดเจน อย่างเช่นเห็นเหมือนกัน 3 ปาก อย่างชัดเจน ส่วนศาลจะเชื่อหลักฐานอะไรนั้น ตนมองว่าต้องใช้ประกอบกัน อย่างเช่นคดีข่มขืน ถึงแม้จะไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน แต่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เจอคราบอสุจิของคนร้าย ก็ออกหมายจับได้ทันที ศาลจะเชื่อผลนิติวิทยาศาสตร์ และประจักษ์พยาน เป็นลำดับต้น ๆ และผลจากเครื่องจับเท็จเป็นส่วนประกอบ แต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกัน
นอกจากนี้ ทีมข่าวย้อนบทสัมภาษณ์วันที่ 28 ก.ค.63 นายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ ระบุว่า เรื่องช่วงเวลาไทม์ไลน์วันที่ 11 พ.ค.63 ช่วงที่กลับมาจากสวนยางหลังไปวัดจีพีเอส จนกระทั่งก่อนออกไปรับพระ ช่วงเวลา 09.30 - 09.45 น. หลังจากตนออกจากสวนยาง 09.22 น. หลังจากนั้นก็ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นช่วง 09.30 น. จากนั้นตนได้เอาพวกมีดกรีดยาง ยากันยุงที่อยู่ที่รถ เอาออกไปวางในครัวซึ่งอยู่หน้าบ้าน
จากนั้นตนก็เดินเข้าบ้าน โดยตนเป็นคนเปิดผ้าสแลนสีดำออก ซึ่งตอนนั้นรถกระบะยังจอดอยู่ในบ้าน จากนั้นตนก็ถอดเสื้อผ้าออก เหลือแค่กางเกงขาสั้น ตนก็ไปอาบน้ำ โดยเดินไปอาบน้ำ แปรงฟัน สบู่ไม่ถู ตนไม่รู้ช่วงเวลาของการอาบน้ำ ตนก็เปลี่ยนชุด ใส่เสื้อผ้า จากยั้นก็ติดเครื่องยนต์ ก็ไม่ได้ดูเวลา คิดว่าน่าจะใกล้เวลา 10.00 น. จึงออกจากบ้าน
หลังจากตนทำธุระในบ้านเสร็จ ก็ต้องรีบออกไปรับพระ ตนก็ต้องเหลือเวลาให้ป้าแต๋นอาบน้ำด้วย ซึ่งตอนที่ตนออกจากบ้าน ป้าแต๋นก็ยังอยู่ในบ้าน ยังไม่ได้ไปอาบน้ำ ระหว่างทางยืนยันว่ายังไม่เจอน้องสะดิ้ง ยังไม่รู้ว่าน้องชมพู่หายตัวไป ไม่มีใครมาหาที่บ้าน ระหว่างที่ตนอาบน้ำ น้องสะดิ้งก็ยังไม่มา ตนไม่ได้ออกไปนอกเขตของบ้านเลย หากตนออกไปไปเจอน้องสะดิ้ง ตนต้องถามอยู่แล้ว ซึ่งตนไม่เห็นจริง ๆ
ทีมข่าวสอบถามนางนลิน เงินนาม พยานของลุงพล ว่า จำได้หรือไม่ว่าวันที่น้องชมพู่หายตัวไป ลงมาเจอลุงพลตอนกี่โมง โดยนางนลิน เปิดเผยว่า ตนกลับจากสวนมันสำปะหลังมาเจอลุงพลที่สวนยางในเวลาประมาณ 9 โมงกว่า ๆ แต่ระบุไม่ได้ว่าเป็น 9 โมงกี่นาที เพราะตอนนั้นตนไม่ได้ดูนาฬิกา ตอนนั้นลุงพลกำลังจดเลข GPS แผนที่สวนยางอยู่ และตนไม่เคยระบุเรื่องเวลาเจอลุงพลว่า เป็น 09.22 น. ซึ่งตนและลุงม็อค ก็ให้การเป็นการคาดการณ์เวลาเอาทั้งหมด ไม่เคยระบุแน่ชัด และลุงพลก็ไม่เคยสั่งให้ตนระบุเวลาเท่าไร แต่ตนก็ให้การกับตำรวจในเวลานี้มาตลอด
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่ลุงพลถูกเจ้าหน้าที่เชิญตัวไปเกี่ยวกับเรื่องการรุกป่าสงวน ตนก็รู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ต้องปล่อยไปตามกระบวนการ