กว่าจะได้สัมผัสและอยู่กับรักแท้ที่อยู่ภายใต้คำว่ากัลยาณมิตรมา 20 กว่าปี "นุ่น ดารัณ" ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดใจแบบหมดเปลือกว่าความรักที่อยู่ใกล้ๆ บางทีเราก็มองไม่เห็น พร้อมเล่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดของชีวิต การแต่งงานดันไม่ใช่ความสำเร็จ คิดว่าจะได้เป็นเจ้าหญิงแต่กลับรับบทนางแบก กว่าจะหลุดพ้นจากชีวิตช่วงนั้นมาได้จิตใจของเธอสาหัสไม่ใช่น้อย แต่เมื่อมาเจอรักแท้กับสาวหล่อ "บี" ก็เกือบจะรักษาไว้ไม่ได้ ….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เป็นเมีย "สุเทพ สีใส" เจอบูลลี่หนัก "เป็นผู้หญิงกลางคืนชัวร์ หน้าแบบนี้ ไม่มีเงินไม่เอาหรอก"
- รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก! "ศิรินทรา" สารภาพเคยแต่งงานกับผู้ชายมีเจ้าของ ถ้ามีลูกได้ 50 ล้าน!
- ชีวิตเปลี่ยน! "ทูน หิรัญทรัพย์" ฝึกอยู่ในโลกมืด รับเคยเครียดถึงขั้นคิดสั้น
- "หมอช้าง" ชีวิตพลิกชั่วข้ามคืนจากเคยรวยนั่งรถหรูสู่รถเมล์ รัก 15 ปีที่ไม่สามารถเล่าได้
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม ศึกษาดูใจกันมา 1 ปี ก็เข้าสู่การใช้ชีวิตคู่ เขาอยากแต่งงาน ซึ่งนุ่นก็พร้อมใจด้วยว่าได้
นุ่น ดารัณ : แน่นอนค่ะ เราก็ตอบตกลงทันที เราไม่ได้คิดว่า 1 ปีมันเร็วไปด้วย เพราะว่าให้เหตุผลกับตัวเองว่าอายุก็ 30 ปีแล้ว เราเคยมีแฟน ทำงานแล้ว ทุกอย่างเราสามารถตัดสินใจเองได้แล้ว คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์แล้ว ไม่น่าจะคิดอะไรผิด เพราะเรามองแล้ว 1 ปีที่รู้จักเขามา ไม่มีสัญญาณเตือนอะไรที่ไม่ดีเลย เพราะเขาเปิดพื้นที่ทั้งหมดทุกทางเลย ให้เราไปที่บ้าน แนะนำให้เรารู้จักกับคุณย่า พี่น้องของเขา มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีความลับและจริงใจ เพื่อนที่สนิทกับเราก็จะเห็นเขา เท่าที่เราเห็น ก็ไม่ได้มีใครมาห้ามเรา เพราะเขาดีหมดทุกอย่าง พอแต่งงานไปแล้วเราก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของเขา เขาบอกว่าเขาอยากดูแลคุณย่า ซึ่งเขาก็เป็นพี่คนโต เขาต้องดูแลคุณย่า เราก็โอเค ย้ายเข้ามาอยู่กับเขา แต่เมื่อมีครอบครัวเราก็ฝันว่าอยากมีเรือนหอสวยๆ เพราะตอนนั้นเราทำงาน รายได้ก็เยอะ เราเลือกที่จะซื้อบ้านก็ได้ เขาก็ปฏิเสธว่าอยากจะอยู่ที่บ้าน เราก็ไปจัดการบ้าน เขาลงทุนซ่อมบ้าน บ้านเขาจะอยู่ในพื้นที่เดียวหลายหลัง บ้านของคุณย่าจะเป็นจุดศูนย์รวม ซึ่งเขาก็อยู่ที่นี่ ก็มีแค่ชั้นบนที่จะเป็นส่วนตัวได้ คุณย่าก็กรุณาลงมาอยู่ข้างล่างให้ เราก็ทำบ้านข้างบนสวยงาม พอเราย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านเขา จำได้เลยในวันที่ส่งตัว ผู้ใหญ่ทางเขาพูดว่า ดีใจนะที่ได้เรามาเป็นสะใภ้ เราปรับตัวง่าย ปรับตัวเก่ง ทำงานเก่ง หน้าบานเลยค่ะคนชม พอมารู้ทีหลัง ที่ไหนได้ ฉันก็แบกเอาไว้ได้ คำว่าแบกของเรา ถามว่าเขามีงานไหม มีงาน แต่งานของเรา รายรับเรามากกว่า
ถาม คำว่าแบก คือเราเป็นคนดูแลค่าใช้จ่าย
นุ่น ดารัณ : เราดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนบ้านใหญ่ บ้านศูนย์กลางค่ะ เพราะเราถือว่าเราดูแลคุณย่า เราเลยแบบไม่เป็นไร วันหนึ่งมีหนี้สินผุดขึ้นมา เป็นหนี้สินดั้งเดิม เขาก็ประชุมครอบครัวกัน เราก็แบบรักแล้ว ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ช่วยก็ต้องช่วย แล้วพอเราย้ายเข้าไปในครอบครัวเขา เราก็เจอความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ซึ่งก็หนักมากและหนักขึ้นทุกวัน เราไม่คุ้นชินกับการเป็นครอบครัวใหญ่อยู่แล้ว แต่เราก็ไม่เป็นไร ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกันได้ แต่สัดส่วนพื้นที่ความเป็นส่วนตัวต้องมี แต่ยิ่งอยู่ เราก็ยิ่งอึดอัดไปเรื่อยๆอย่างเตารีดเสีย ไม่ซื้อ ไม่ซ่อม แต่มาเอาของเราไป แบบนี้เราไม่ชิน มันก็อัดมาเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กๆ แบบนี้จนไปเรื่องใหญ่
ถาม แล้วในที่สุดเราตัดสินใจจะสิ้นสุดตอนไหน
นุ่น ดารัณ : เราก็ไม่ไหวแล้วค่ะ ก็โทรไปปรึกษาคุณแม่ของเขา คุณแม่ของเขาคือมีครอบครัวใหม่อยู่ที่อเมริกา คุณแม่เขาก็แมนๆ นะคะ เขาก็แนะนำเยอะ ไม่อยากให้ไปถึงโรงถึงศาล เพราะจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ บาดหมางกันไปเปล่าๆ คุณแม่เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ เดี๋ยวลูกเขียนสัญญาลูกผู้ชายใส่กระดาษเลย แล้วก็อาจจะมีให้พยานเซ็นก็ได้ แต่ก็ต่างคนก็ต่างเซ็นรับรู้กันไป 1 2 3 ลูกอยากได้อะไร ลูกเขียนลงไป แล้วก็ให้เขาดู แล้วเขาจะแก้ไขอะไร ให้เขาแก้กลับมา แล้วมาดูกันอีกครั้ง เราก็เขียนเสร็จเรียบร้อย ตอนนั้นเรากับเขาคือแย่มากๆ แล้ว ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้วด้วย เหมือนฟางมันจะขาดแล้ว แล้วเขาก็เลี่ยงที่จะเจอเราด้วยการกลับบ้านดึกๆ แต่เราก็รอดักที่จะเจอ เราก็ยื่นจดหมายข้อสัญญาที่เราเขียนให้เขา เราก็บอกเขาว่าแม่คุณแนะนำมาให้เขียนแบบนี้ คุณลองอ่านดู เขาขยำจดหมายทิ้ง แล้วบอกเราว่าอยากได้อะไร ไปฟ้องเอาแล้วกัน เราก็ฟ้องเลยเหรอ เราไม่รู้เรื่องกฎหมายหมายอะไรเลย ทนายก็ไม่มี เราก็บอกเขาว่าไม่อ่านหน่อยเหรอ เขาบอกว่าคุณเขียน เราก็บอกว่าแก้ไขได้ จะเอายังไง ไม่ต้อง อยากได้อะไรไปฟ้องเอา เราก็มานึกในวันที่ผ่านมา ในวันที่เขายกวิดีโอขึ้นมาถ่ายลูก ถ่ายโน้นนี่ แล้วเราก็ถามว่าถ่ายอะไร ทำให้เราโมโห เอกสารที่หายไปในตู้เซฟที่เก็บไว้ เราก็อ๋อ น่าจะมีคนเป็น life coach แนะนำแล้วว่าถ้าเราเป็นแบบนี้ เราน่าจะทำอะไรแน่ๆ เขาก็เริ่มเก็บภาพ เก็บเอกสารเป็นหลักฐาน ตรงนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกสาหัสมากๆ เลย ชีวิตทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ กับคำที่ทนายพูดว่าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเราจะตั้งฟ้อง จากนี้ไป มันจะไม่ใช่เรื่องของครอบครัว เรื่องส่วนตัวแล้ว มันจะเป็นเรื่องที่คนอื่นจะต้องรับรู้ คุณนุ่น พร้อมใช่ไหม เราก็ต้องพร้อม เพราะเขาบอกให้เราฟ้อง เราทนอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว ก็ดำเนินการค่ะ และสิ่งที่เราเจ็บปวดที่สุดในระหว่างนั้นคือเครียดมากๆ ลูกเราก็ต้องดูแล แล้วเรื่องฟ้องเราก็ต้องดำเนินการทุกวัน สิ่งที่เจ็บปวดคือเราต้องเขียนข้อบกพร่องเขา ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง ใครอยากจำบ้าง ไม่มีใครอยากมานั่งเขียนข้อผิดพลาดของคนที่เราเคยรักหรอก แต่เราก็ต้องนั่งเขียน เขียนแล้วก็เจ็บ เหมือนเราไปย้ำแผลของตัวเอง แล้วมันก็เป็นจริงทุกคนต้องมารู้ ยิ่งเรารู้ลึก อะไรที่เราเขียนออกมาลึกๆ เรามีทั้งความโกรธและอายอยู่ในนั้นว่าโง่ อะไรเนี้ย จะบอกตัวเองแบบนั้น ทำไมเราถึงตาบอดอะไรได้ขนาดนั้น
ถาม จนในที่สุดแล้วความเจ็บปวดตรงนั้นก็ค่อยๆ รับมือได้เรื่อยๆ จนดีขึ้น แล้วก็กลับมาหัวใจพองฟูอีกครั้ง
นุ่น ดารัณ : คนนี้เขาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีกับมาเรามา 20 กว่าปีที่แล้ว เพราะเราก็ทำงานละครเวที เขาก็อยู่ในทีมละครเวทีด้วย เราก็ได้เจอะเจอกัน ตอนนั้นก็มีความแอบกิ๊กกิ้วเพราะว่าเราเรียนโรงเรียนสห แล้วก็โรงเรียนหญิงล้วน แล้วก็กลับไปเรียนโรงเรียนสหศึกษาอีกแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นช่วงเรียนรู้ความรัก 2 แบบได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเพศไหน แต่เราอยู่กับคนนี้แล้วเราอุ่นใจ ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีความรักตรงนี้ได้ เพราะเราเจอเขา เรารู้สึกมีความสุข สดชื่น แต่เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกับเขานะคะ เพราะเราเป็นคนที่มีแฟนไม่หยุดไงตอนนั้น โอกาสเราเยอะ พอเจอคนนี้ไม่โอเคก็เลิก เขาก็ไม่ได้มาเป็นแฟนในตอนนั้น แต่เราก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน จนวันแต่งงาน เขาคือคนที่มาปล่อยตัวเราให้เดินลงไปขึ้นเวที เพราะเราแต่งงานที่โรงละครค่ะ ซึ่งเขาก็วนเวียนในชีวิตของเรามาตลอด
ถาม ย้อนกลับไปตอนที่เจอกัน บีคิดยังไงกับพี่นุ่น
บี : พี่นุ่นเขาเป็นคนมีสไตล์ เราก็เป็นของเราแบบนี้ พอเห็นเขาแล้วเราก็ปิ๊งเขา แต่ไม่ได้อยากเป็นอะไรกับเขา เพราะเขาก็ไปๆ มาๆ เวลาที่เขามีแฟน เขามีความสุข เราจะไม่ค่อยรู้ แต่เวลาเขามีความทุกข์ เขาจะมาหา เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ของเขา แต่ในระหว่างทาง 20 ปีที่ได้รู้จักพี่นุ่น เราก็มีแฟนค่ะ แต่เราก็ดูแลเขามาตลอด อย่างในช่วงที่เขาท้อง เขาก็จะโทรมาบอกว่าเขาท้องนะ มันเกิดจากความผูกพันกับเขาไปโดยไม่รู้ตัว เพราะช่วงที่เขาคลอด เราก็ไปหาไปอะไรเขาตลอด จริงๆ บีไม่ใช่คนรักเด็ก แต่อย่างที่เรารักลูกเขาเป็นเพราะเรารักแม่เขาหรือเปล่า เราก็เลยรักลูกพี่นุ่นด้วย อย่างตอนวันที่เราส่งตัวเขาในวันที่เขาแต่งงาน เราก็ไม่เฮิรตนะคะ เพราะเรารักเขามาก อะไรที่เป็นความสุขของเขา เราก็จะมีความสุขด้วย
ถาม แล้วพี่นุ่นรู้ไหมว่ามีคนคนหนึ่งรักเรา และเฝ้าดูความสุขของเราอยู่เสมอ
นุ่น ดารัณ : จริงๆ รู้ แต่มันเหมือนกับว่าในความรู้สึกเรา มาหาแล้วจากไป เราทำได้แค่นี้
ถาม ตอนที่มาเลี้ยงหลานๆ บีก็จะเป็นคนที่ค่อยข้างเคร่งครัด
นุ่น ดารัณ : เพราะเขาอยู่เสมอกับเราทุกช่วงเวลา แม้กระทั่งตอนหย่า พอหย่าเรียบร้อย เขาก็เข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ ให้ แต่ตอนนั้นที่ บีเขาเข้ามาช่วยดูเด็กๆ สถานะของเรายังไม่ได้เปลี่ยนนะคะ แต่เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กันไหม ดีมากๆ เลยค่ะ แต่เราไม่มีเวลาที่เราจะมานั่งวิเคราะห์ว่าเราเป็นอะไรกัน ใช่ ไม่ใช่
บี : ก็เลยเลี้ยงแต่ลูก ไม่ได้คุยเรื่องความรู้สึกกัน
ถาม แล้วทำไมวันหนึ่งไม่ได้เป็นคนที่ดูแลลูกต่อ
นุ่น ดารัณ : ตอนนั้นเราก็ตั้งธงไว้ว่าไม่ว่ามีอะไรที่เกิดกับลูก เราต้องลุกขึ้นมาจัดการ เขามารับผิดชอบหนักหนาสาหัสแบบนี้ เขาก็เครียด เราก็เครียด พอเครียดกับเครียดมาเจอกัน ก็ตีกัน เรื่องนี้ทำไมต้องเคร่งครัดขนาดนี้ บีเขาจะมีระเบียบค่ะ เวลาอาหารก็ต้องเป็นเวลาอาหาร ต้องไม่มากินขนมในเวลาอาหาร นมระหว่างมื้อต้องกี่โมง เกินมา 5 นาทีเอาแล้ว เราก็รู้สึกว่ามันเยอะไป พยายามจะแก้แต่มันเป็นนิสัยเขา แล้วเขาหวังดี
บี : ยอมรับค่ะว่ามันมีแต่ความรักแล้วก็หวังดีไม่ได้ค่ะ สำหรับเด็กต้องเข้าใจเขาด้วย ซึ่งเรามาตระหนักเมื่อตอนที่ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว คือตอนที่เราแยกกันแล้ว ก็ปะทะกัน แต่ไม่ได้หนักอะไร แต่ว่าในทุกวัน มันรู้สึกว่าแบบมันตึงกัน เราก็กลับบ้านตั้งแต่ครั้งนั้น เราก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย 8 ปี
บี : ตอนนั้นเรารู้สึกพังเลย รู้สึกว่าลูกจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล เรารู้สึกเสียใจทั้งในบทบาทที่เราไม่ได้ดูแลลูกและอกหักในฐานะคนรักที่ไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ เพราะว่าคนที่ตัดสินใจให้เราไป ไม่ใช่ลูก แต่เป็นเขาเราเลย เหมือนรู้สึกอกหัก แล้วเราก็รักลูกมาก เพราะพี่นุ่นแทบไม่ได้เลี้ยงลูกเลย เขาอยู่กับเรา 90 เปอร์เซ็นต์เลย ตอนนั้นเราก็วิ่งเข้าธรรมะ ช่วยได้จริงๆ เราก็สวดมนต์ทุกวัน เช้า เย็น เราได้ไปอยู่วัด ใกล้ชิดกับคนที่เขาดูแลเรื่องจิตใจเราได้ แล้ววันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาแล้วมันเข้าสู้สภาวะปกติ แล้วก็เดินไปบอกกับคุณแม่ว่าหิวข้าว เพราะก่อนหน้านี้เราไม่อยากทานอะไรเลย แล้วคือจริงๆ เราไปหาหมอจิตเวชมาด้วย เขาก็ถามเรา 2 คำถาม หนึ่งอยากลาออกจากงานไหม สองอยากฆ่าตัวตายไหม เราบอกว่าไม่นะคะ แต่ถ้าเดินออกไปแล้วรถชนตายเอา ตอนนั้นรู้สึกว่าตายก็ดี แต่เราไม่คิดจะฆ่าตัวตายนะคะ
ถาม 8 ปีที่หายไป แล้วก็มารู้ว่านุ่นเป็นมะเร็ง
บี : รู้จากเพื่อนที่เป็นตัวแทนประกันเขา แต่เป็นเพื่อนสนิทเรา เขาก็บอกว่าพี่นุ่นเป็นมะเร็ง เราก็ตกใจมาก เราก็วางหูไปแล้วหันไปบอกคุณแม่ แล้วก็ร้องไห้ วันรุ่งขึ้นไหว้พระอธิษฐานทุกที่ที่ไป แล้วที่เราไว้ผมยาว เพราะเราจะได้ตัดผมไปบริจาคให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง บีเชื่อเรื่องความปรารถนาดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้กัน แต่ขอให้เธอมีความสุขนะ
นุ่น ดารัณ : ช่วงนั้นก็จะมีเพื่อนบอกเราตลอดว่าเห็นบีไหม แต่เพราะเราบล็อกเขาหมดทุกทาง ดูเขาไว้ทรงผมสิ เราก็คิดว่าเขาทำอะไร ทำไมไว้ผมยาว แต่พอเขามาเล่าให้ฟังตอนหลังที่มาเจอกัน เราผิดจริงๆ ผิดมากๆ
ถาม แต่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งคือความบังเอิญมากๆ
นุ่น ดารัณ : เราก็ไปอัดเสียงสปอต แล้วเดินออกมา จะถึงประตูอยู่แล้ว เราก็ได้ยินเสียงเรียกพี่นุ่น ที่เราเห็นคือคุณแม่เขานั่งอยู่ แล้วบียืน เราก็เดินเข้าไปกราบคุณแม่ก่อน แล้วก็เลยกอดเขา เหมือนคนไม่ได้เจอกันนาน กอดนั้นมันกลายเป็นกอดเรียกภาพไปหมดเลยว่าเราไม่ได้โกรธเขาเลย แต่เราคิดถึงเขา เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเรารู้สึกดีใจมากที่เราเจอ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เคยคิดจะกลับไปหาไปคุย ก็เลยขอถ่ายรูปกับเขาแล้วก็ขอแอดไลน์ เขาก็บอกเราว่าพี่แค่อันบล็อกบีก็ได้ พอเราได้เจอเขาแล้วเ ราก็รีบกลับไปบอกลูก เพราะไม่ว่าใครที่เข้ามาในชีวิตเรา เราจะบอกลูกเสมอ จริงๆ ลูกเป็นคนช่วยเลือกนะ ว่าให้ใครเข้ามาในชีวิตแม่ เพราะลูกโตพอที่จะรู้เรียนรู้เรื่องรักได้และเราก็อยากจะให้ประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งพอบอกลูกไป ลูกเขาก็จำบีได้ เพราะบีเป็นคนเลี้ยงเขามา และพอเรากลับมาคบกันเหมือนเดิม ก็กลายมาเป็นว่าทุกคนคือมาแสดงความยินดีและบอกว่าดีใจจังเลยที่ได้กลับมาเจอกัน เราก็ตกใจที่มีคนเห็นความรักเรา แต่เรากลับมองไม่เห็นเลยแต่วันนี้ มีความสุขมากค่ะ ความรักชนะทุกอย่างจริงๆ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป