กรณีนายไชย์พล วิภา หรือลุงเขยของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้แสดงอาการคุกคามสื่อมวลชน จนเกิดเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลุงพลหลังจากที่ถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 10 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับลุงฮง (สงวนชื่อ-นามสกุล) เจ้าของสวนยางที่ลุงพลกรีดยาง เปิดเผยว่า ตนเคยจ้างลุงพลกรีดยาง ตั้งแต่เขามาอยู่ในหมู่บ้านกกกอกใหม่ ๆ แต่ก็เลิกจ้างไป กระทั่งช่วงเดือนเม.ย.63 ตนได้จ้างลุงพลมากรีดยางอีกครั้ง โดยกรีดพื้นที่ 8 ไร่ ตรงข้ามบ้านลุงพล ซึ่งจ้างเป็นเงินรายได้ร้อยละ 60:40 แล้วแต่ราคายาง
โดยตนได้ 60 ส่วนลุงพลได้ 40 ซึ่งจะกรีด 2 สัปดาห์แล้วขาย 1 ครั้ง ในช่วงที่น้องชมพู่หายไปก็อยู่ในช่วงที่ตนจ้างให้ลุงพลกรีดยาง ลุงพลเพิ่งกรีดกระตุ้นหน้ายางไป 3 มีดเท่านั้น ปกติคนทั่วไปจะกรีดยางในช่วงค่ำ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสาง ส่วนตอนกลางวันจะเป็นการหยอดน้ำกรด ซึ่งในเวลา 07.00-09.00 น. ที่ลุงพลอยู่ในสวนยาง เพราะเขาอาจจะหยอดน้ำกรด หรืออาจจะกรีดกระตุ้นหน้ายางให้น้ำยางออกก็ได้
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจะเจอลุงพลในสวนยางของตน เพราะตนก็มอบหมายให้ลุงพลดูแลและรับผิดชอบพื้นที่สวนยางของตน สุดท้ายเรื่องกอไผ่ที่เป็นข่าวว่า อยู่หลังสวนยางนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตน
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับนายหม่อง (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พยานคดีน้องชมพู่ ซึ่งเป็นการพูดคุยครั้งแรก เนื่องจากนายหม่องมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดี และได้ให้ปากคำกับตำรวจกองปราบปรามเพียงครั้งเดียว และไม่เคยให้ปากคำซ้ำ ซึ่งหลังจากนั้นก็เก็บตัวมาตลอด
นายหม่อง ยอมเปิดเผยกับทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ว่า ตำรวจได้เชิญตนไปสอบสวน เพราะลุงพลไปให้การว่าได้เจอกับตนในช่วงวันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ขณะลุงพลกำลังออกค้นหาน้องชมพู่ในช่วงบ่าย บริเวณหลังสวนยางลุงฮง ใกล้ ๆ กับห้วยบุ่ง แต่ตนยืนยันว่าในวันนั้นไม่ได้เจอกับลุงพล โดยย้อนกลับไปในวันที่ 11 พ.ค.63 ตนกลับจากสวนยางไปถึงบ้าน เวลาก็เกือบ ๆ 11.00 น. และทราบข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป ตนจึงขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่บ้านน้องชมพู่ และเดินหาที่บริเวณสวนยางหลังบ้านน้องชมพู่จนถึงเวลา 12.00 น. ก็กลับมากินข้าวที่บ้าน
หลังกินข้าวเสร็จก็ออกเดินตามหาน้องชมพู่อีกครั้งในช่วงบ่ายจนถึงเวลา 16.00 น. โดยครั้งนี้ได้ออกตามหากันหลายคนมาก ๆ ซึ่งมีทั้งชาวบ้านกกกอกและชาวบ้านกกตูมออกเดินตามหาที่บริเวณหลังสวนยางลุงฮงจนถึงห้วยบุ่งและเดินวนไปมาแถวบ้านพ่อแบม เดินตะโกนหาน้องชมพู่ ซึ่งตนจำไม่ได้ว่าเป็นชาวบ้านกกตูมคนไหนบ้าง
แต่ตนยืนยันได้ว่าตนไม่เจอลุงพล เพราะถ้าเจอตนจะจำลุงพลได้แน่นอน เนื่องจากเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันและเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ตนก็ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ไปตามตรงว่าตนไม่เจอลุงพล แม้ว่าลุงพลจะแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเจอตน และตนได้นำโทรศัพท์ของตัวเองให้ตำรวจไปตรวจสอบว่า ตนไปอยู่ที่ไหนบ้างในวันที่ 11 พ.ค.63
ในวันที่ 12 พ.ค.63 ตนเริ่มออกหาตั้งแต่ตีนเขาภูเหล็กไฟ เดินไปทางโรงเรียนกกกอกตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายโมง และในวันที่ 13 พ.ค.63 ตนออกตามหาตั้งแต่ห้วยบางทรายไปจนถึงห้วยบุ่ง
ในวันที่ 14 พ.ค.63 ตนก็ออกตามหาที่ห้วยกะซะ ที่หมู่บ้านกกตูม ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ๆ ก็กลับไปบ้านเก็บเศษยางที่สวนยาง ซึ่งการออกค้นหาทั้ง 4 วัน ตนไม่ได้เจอกับลุงพลเลย เพราะเขาไม่ได้ไปกับกลุ่มตน และตนก็ไม่รู้ว่าเขาเจอตนเมื่อไร
อย่างไรก็ตาม ตนได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว และตนไม่พร้อมที่จะไปพูดคุยกับทนายษิทรา หรือเป็นพยานให้ลุงพล เพราะตนคงกลับคำไม่ได้ เนื่องจากตนได้พูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าไม่เห็นก็คือไม่เห็น
นอกจากนี้ ในวันที่ 11 พ.ค.63 เวลา 14.00 - 16.00 น. ใครเห็นลุงพลบ้าง? ปรากฏว่า ทั้งแม่น้องชมู่ นางพงษ์สุดา และนางนลิน ไม่มีใครเห็นลุงพล
ทีมข่าวย้อนบทสัมภาษณ์ของลุงพล ในวันที่ 9 ก.ค.63 ที่ผ่านมา ลุงพล ให้สัมภาษณ์ผ่านอมรินทร์ ทีวี ว่า ในช่วงที่ตนกลับมาถึงบ้าน ขณะนั้นเวลาประมาณ 14.00-16.00 น. ตนก็ได้เดินออกไปตามหาน้องชมพู่พร้อม ๆ กับชาวบ้าน และไปเจอชาวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งตนก็จะให้เป็นพยานให้ในคดีด้วย