กรณีน.ส.มยุรี ยอดพะเนา หรือ น้องหลิว อายุ 19 ปี หายตัวไปจากบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 5 พ.ค.55 ก่อนจะพบเป็นศพถูกฆ่าอำพรางอยู่ในป่าอ้อย ในพื้นที่หมู่ 13 ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว โดยญาติของน้องหลิวสงสัยเเฟนเก่า ซึ่งเป็น ผอ.โรงเรียนเเห่งหนึ่ง จ.สระเเก้ว ว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง...
ฆ่าหมกป่าน้องหลิว 8 ปี เจอศพยิงเจาะอก เร่งล่า ผอ.รร.ขู่ปืนตบโกหกหนีไปนอก
ล่าสุดวันที่ 16 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่บ้านของ ผอ.ตุ๊ ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาคนปัจจุบัน ได้พูดคุยกับ นายบอล (นามสมมติ) ลูกชายกับภรรยาคนที่ 1 ซึ่งเป็นลูกคนรอง อายุ 25 ปี (ลูกคนโตอายุ 27 ปี, คนรอง 25 ปี และลูกกับเมียปัจจุบัน 2 คน คนโต 12 ปี, คนรอง 10 ปี)
นายบอล (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ตนไม่เคยรู้จักกับคนชื่อหลิว พ่อไม่เคยพูดถึง ตนเป็นลูกที่อาศัยกับพ่อช่วงที่ยังรับราชการอยู่ จ.สระแก้ว ตอนนั้นแม่เลี้ยงย้ายกลับมาที่นี่ก่อน ซึ่งพ่อก็อาศัยอยู่บ้าน ทุกอย่างปกติ ไม่เคยรู้ว่าพ่อมาหญิงอื่น หรือพาหญิงที่ไหนเข้าบ้าน แต่ก็มีบางครั้งที่ตนไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยตลอด เนื่องจากตนไปอยู่บ้านเพื่อนบ้าง หรือบางช่วงตนไปทำงานที่ จ.ชลบุรีบ้าง แต่เท่าที่รู้ตนไม่เคยเห็นอะไรผิดสังเกต ส่วนแม่เลี้ยงก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ตนฟัง
ส่วนตัวรู้ว่าพ่อมีปืน เพราะเคยเห็นกล่อง แต่ไม่เคยถามว่าพ่อมีกี่กระบอก กระทั่งตำรวจมาตรวจค้นบ้านเมื่อต้นเดือน ก.พ.64 วันนั้นช่วงเวลา 06.00 น. ตำรวจกว่า 30 นายมาที่บ้าน และขอตรวจค้น ซึ่งตนได้คุยกับตำรวจบางคน ระบุว่า ที่มาค้นเป็นเรื่องอาวุธปืน ที่พ่อไปแจ้งหายเอาไว้ ซึ่งตอนนั้นพบปืนในบ้าน 2 กระบอก แต่ไม่เจอปืนที่แจ้งหาย
ส่วนตัวมองว่าพ่อไม่น่าเกี่ยวข้องกับการตายของน้องหลิว ตั้งแต่มีข่าวตนก็ยังไม่ได้คุยกับพ่อ เพราะเมื่อเช้าพ่อก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เท่าที่ผ่านมาพ่อปกติ พ่อเป็นคนใจดี อาจดุบ้างเวลาดื้อ อีกทั้งตนก็ไม่เคยถามพ่อถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นของตำรวจที่มาค้นด้วย กระทั่งมีข่าว ส่วนหากถูกจับก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ว่าจะประกันหรือไม่ และปรึกษาแม่ต่อไป
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางทองใจ (นามสมมติ) แม่ยาย ผอ.ตุ๊ เปิดเผยว่า วันนี้ผอ.ตุ๊ ออกไปส่งลูกชาย (ลูกกับเมียใหม่) ไปโรงเรียนแต่เช้าก็เป็นปกติ โดยบอกที่บ้านว่าวันนี้จะเข้าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ก่อนจะเข้าโรงเรียน ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าไปไหน ส่วน ผอ.ตุ๊ มาเป็นเขยตนตั้งแต่ปี 2548-2549 ตนจำปีไม่ได้แน่ใจ ลูกเขยมาแต่งงานที่บ้านตนที่ จ.สุพรรณบุรี และกลับไปทำงานที่ จ.สระแก้ว ซึ่งลูกสาวตนก็ไปด้วย
กระทั่งช่วงที่หลานคนเล็ก (ปัจจุบัน 10 ขวบ) อายุได้เกือบ 1 ปี ลูกสาวขอย้ายกลับมาที่งานที่ จ.สุพรรณบุรี มาเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อมาดูแลลูก ซึ่งตอนนั้นผอ.ตุ๊ ยังไม่ได้ย้ายตามมา ที่ผ่านมาตนไม่เคยรู้เรื่องชู้สาวของลูกเขย ลูกสาวก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง ตนไม่เคยเห็นมีปัญหาอะไร มีแต่ต้นเดือน ก.พ.64 ตำรวจมาที่บ้านแต่เช้า และเข้ามาค้นอาวุธปืน โดยตอนนั้นตนไม่รู้เรื่องว่าเรื่องอะไร จนเย็นวันนั้น หลังตำรวจเชิญตัวลูกเขยไปสอบปากคำ ตนมาสอบถามลูกเขยว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกเขยบอกว่า "เรื่องปืน ที่ลูกเขยแจ้งหายไว้" ลูกเขยบอกตนแค่นี้ โดยบอกว่ามีปืน 3 กระบอก แต่หายไป 1 กระบอก
ก่อนตำรวจจะมาค้น ตนเคยเห็นลูกเขยเอาปืนมาบ้านจริง แต่ไม่รู้ปืนอะไร ไม่รู้จำนวน คนชื่อหลิวตนก็ไม่รู้จัก มีเพียงรู้ข่าวจากเพื่อนบ้านเมื่อเช้าว่ามีออกข่าวตนถึงทราบ แต่ยังไม่ได้คุยกับลูกเขย ลูกสาวก็ติดต่อไม่ได้ เมื่อเช้าลูกสาวก็ออกไปทำงาน ปกติจะกลับช่วงเย็นถึงค่ำ เพราะต้องไปรับลูกชายด้วย ตนไม่รู้ลูกเขยจะเกี่ยวข้องหรือไม่ หากกระทำจริงก็ต้องรับผิด ตามเวรตามกรรม ลูกเขยอาจจะมีไปดื่มบ้าง แต่เท่าที่เห็นไม่เคยสร้างปัญหา พูดจาก็สุภาพ
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมาพบกับ นางอุ้ม (นามสมมติ) ภรรยา ผอ.ตุ๊ ซึ่งไม่ได้ตั้งตัวว่าจะมีนักข่าวเข้ามาพบ ได้บีบมือทีมข่าว มีอาการเนื้อตัวสั่น และโผลกอดกับหัวหน้างาน ก่อนร้องไห้ออกมา
นางอุ้ม (นามสมมติ) เปิดใจกับอมรินทร์ ทีวี ว่า ตนย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเกิดช่วงปี 2554 ซึ่งก็ไม่เคยทราบว่ามีปัญหาอะไรมาก่อน ส่วนเรื่องอาวุธปืน ตนรู้ว่าสามีมีอาวุธปืน แต่ไม่รู้จำนวน ไม่รู้ว่าพกตลอดหรือไม่ เท่าที่ทราบคือจะพกเวลาเดินทาง เนื่องจากเอาไว้ป้องกันตัว เส้นทางไปทำงานค่อนข้างเปลี่ยว
อีกทั้งตนรู้ว่าสามีเคยไปแจ้งความเรื่องอาวุธปืนหาย โดยตอนนั้นตนรู้ว่าปืนหาย เนื่องจากสามีเล่าให้ฟังว่า ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถโดยสาร จนได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาล และรถของ ผอ.ตุ๊ อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งหลังเกิดเรื่องพบว่าอาวุธปืนที่อยู่ในรถหายไป จึงไปแจ้งความเอาไว้ แต่ตนไม่แน่ใจปีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ทราบท้องที่เกิดเหตุ เพราะตนไม่ได้อาศัยอยู่ด้วย ทำให้ช่วงวันที่ 8 ก.พ.64 ตำรวจมาขอตรวจค้นที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้อยู่บ้าน ตนออกมาทำงานแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องชู้สาวก็ไม่เคยมี ตนไม่เคยรู้จักน้องหลิว สามีถือเป็นคนดีคนหนึ่ง ตนมีลูกกัน 2 คน ส่วนตัวไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน จนวันนี้มีเพื่อน ๆ มาบอก ตนก็ไม่มั่นใจจนนักข่าวมา ตนจึงรู้ว่าเป็นเรื่องของสามี ทำให้ตนก็ยังไม่ได้สอบถามสามีกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเรื่องเพิ่งเกิดขึ้น
ในช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังสามีออกจากบ้านไปส่งลูก และเกิดอาการวูบ เนื่องจากโรคประจำตัว จึงเรียกตนให้พาไปส่งโรงพยาบาล ตนก็พาสามีไปหาหมอ ซึ่งสามีมีท่าทีเครียด ไม่ได้พูดอะไรให้ฟัง ตนก็ยังไม่ได้ถาม ตนแยกกับสามีช่วงเที่ยง ๆ ตนมาทำงาน ส่วนสามีไม่ทราบว่าไปไหน ตนยังไม่รู้เลยว่าสามีลาที่ทำงาน ส่วนสามีจะกลับบ้านหรือไม่ตนก็ตอบไม่ได้ เพราะตนก็ติดต่อสามีไม่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่กับครอบครัว ตนกลัวสามีจะคิดสั้น เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว ใครมาเจอเรื่องแบบนี้คงรับไม่ได้ ตนก็เช่นกัน ตนไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาเจอแบบนี้ อีกทั้งไม่เคยคิดว่าสามีจะเป็นคนกระทำเรื่องเช่นนี้ หลังจากนี้ตนพร้อมให้สามีเข้าสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย และไม่เคยคิดว่าสามีจะเป็นคนร้ายได้
ทีมข่าวลงพื้นที่ บริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายที่พบรถจักรยานยนต์ของน้องหลิวจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถของห้างฯ เมื่อทีมข่าวไปถึงได้สอบถามพนักงาน ระบุว่า ตนไม่ทราบว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะจากข่าวที่นำเสนอออกไป คดีดังกล่าวก็ผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว ตนไม่ทราบข้อมูลจริง ๆ ว่าขณะนั้นก่อนหายตัวไปน้องหลิวทำงานที่นี่หรือไม่
ทีมข่าวสรุปไทม์ไลน์ ของน้องหลิว วันที่ 13 พ.ค.55 พบศพหญิงสาวไม่ทราบชื่อ สภาพเน่าเปื่อย ใบหน้าเปลี่ยนรูป มีรอยสักข้อเท้าขวา บริเวณไร่อ้อย ม.13 ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว จากนั้นส่งศพไปชันสูตร รพ.วัฒนานคร ก่อนส่งต่อไปที่นิติเวช รพ.ตำรวจ
วันที่ 6 พ.ค.55 ผลชันสูตรที่นิติเวช รพ.ตำรวจ พบว่ามีบาดแผลฉีกขาดจากกระสุน หน้าอกว้าย แขนซ้ายท่อนบน และนำศพไปฝังที่สุสานเอกชนแห่งหนึ่ง จ.ชลบุรี
วันที่ 24 ธ.ค.63 แม่น้องหลิว เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ เทียบศพดังกล่าว จากนั้นวันที่ 20 ม.ค.64 เก็บตัวอย่างดีเอ็นเออีกครั้ง เพราะครั้งแรกไม่สมบูรณ์ กระทั่งวันที่ 24 ม.ค.64 ผลดีเอ็นเอ ระบุว่า ศพดังกล่าวคือ น้องหลิว ที่หายตัวไปเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา
ในวันที่ 24 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ตำรวจได้เชิญตัว พ่อแม่ของน้องหลิว ไปสอบปากคำ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยประเด็นที่ตำรวจพยายามสอบถาม ได้แก่ 1.ช่วงเวลาที่ลูกสาวขาดการติดต่อ 2.สงสัยใครหรือไม่ 3.ความสัมพันธ์กับผอ.ตุ๊ และ 4.อุปนิสัยของลูกสาว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตำรวจยังได้เรียกตัว นายตู่ ภารโรงที่เคยทำงานกับ ผอ.ตุ๊ ไปสอบถามคำเมื่อต้นเดือน ก.พ.64 ที่ผ่านมา จำนวน 3 ครั้ง ใช้เวลารอบละ 3 ชม. ถามเฉพาะเรื่อง ผอ.ตุ๊ ซึ่งนายตู่ก็ให้ปากคำไปตามที่ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ ทีวี ส่วน ผอ.ตุ๊ จะเป็นผู้ก่อเหตุจริงหรือไม่ นายตู่ไม่กล้าฟันธง