เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 เวลา 17.30 น. บรรยากาศงานสวดพระอภิธรรมศพ “น้องน้ำมนต์-มนชนิตว์ ช่วยบุญ” รองนางสาวไทยปี 2562 ในคืนที่ 3 ณ วัดผาสุการาม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี มีพวงหรีดร่วมแสดงความอาลัยต่อครอบครัวมากมาย และจะมีการสวดพระอภิธรรมในเวลา 19.00 น.
ทั้งนี้ทางครอบครัวยังอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จึงไม่พร้อมให้สัมภาษณ์กับทางสื่อมวลชน
พ.ต.อ.นพดล ช่วยบุญ ผกก.สภ.น้ำเที่ยง ภ.จว.ศรีสะเกษ บิดาของน้องน้ำมนต์ กล่าวสั้น ๆ ว่า ตนยังเสียใจมาก ที่คนขับดื่มเหล้าแล้วยังมาขับรถได้ หากถามถึงค่าเรียกร้องความเสียหาย ก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ตนยอมรับว่าคิดถึงลูกเสมอ เพราะความน่ารักของน้องตั้งแต่เล็กจนโต น้องเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี เข้ากับทุกคนได้ดี เป็นที่รักของเพื่อนฝูง ชอบช่วยเหลือเพื่อนตลอด ไม่มีใครอยากให้เกิดความสูบเสีย ตนเสียลูกสาวไปทั้งคนก็เสียใจ และยังทำใจไม่ได้
สำหรับกำหนดการงานศพ “น้องน้ำมนต์” จะมีการสวดพระอภิธรรมทั้งหมด 4 คืน ตั้งแต่วันที่ 16 – 19 ก.พ.64 และจะมีการฌาปนกิจในวันที่ 20 ก.พ.64 โดยได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นางสาวไทยอย่าง “คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” นางสาวไทยประจำปี 2543 ให้เกียรติมาเป็นพิธีกร ในงาน “ส่งน้องน้ำมนต์ไปสวรรค์”
ทางด้านพนักงานสอบสวนได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางการสืบสวนสอบสวนกับผู้รอดชีวิต คือ “นายถิรเดช กุลเขมรังษี” อายุ 23 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถที่ได้รับบาดเจ็บ และขณะนี้อาการหายดี แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วนั้น โดยพนักงานสอบสวน สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะออกหมายเรียกให้มาพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมดในเบื้องต้น 3 ข้อกล่าวหาคือ 1.ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ใช้รถที่ไม่มี พ.ร.บ. และ 3.ขับขี่รถขณะเมาสุราจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต
ในขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นายถิรเดช ยอมรับว่าเป็นคนขับจริง ดื่มแอลกอฮอล์และขับรถเร็วด้วย ประกอบกับจากการตรวจสอบคลิปพบว่าเป็นการขับขี่รถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม จากคณะวิศวกรรมศาตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตรวจสอบหาความเร็วของรถเพื่อประกอบสำนวนคดี
หากผลการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญ ส่งมาที่ตำรวจพนักงานสอบสวน แล้วพบว่าเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจริง ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเป็นข้อหาที่ 4 คือ ขับรถเร็ว และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป
ขณะที่จากการตรวจสอบผลเลือด นายถิรเดช ซึ่งรพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แจ้งมายังพนักงานสอบสวนนั้น พบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอลล์ในเลือดสูงถึง 183 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
แน่นอนว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเสียใจแก่ครอบครัวของ “น้องน้ำมนต์” อย่างมาก จึงยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ เพียงแค่กล่าวสั้น ๆ ว่าเสียใจมาก แต่คุณแม่ ก็ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง “ดร.บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ที่ส่งพวงหรีดไปแสดงความเสียใจกับครอบครัว รวมถึงฝากบอกผ่านทีมนางสาวไทยไปว่าวันที่ 20 ก.พ.64 จะเดินทางไปทำหน้าที่พิธีกรในงานส่งน้องน้ำมนต์ไปสวรรค์ อีกด้วย
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ “ดร.บุ๋ม” บอกว่า ในฐานะของคนที่เคยพูดคุย และสัมภาษณ์กันทั้งบนและหลังเวทีของการประกวด ดังนั้นด้วยภาพจำความน่ารักของ “น้องน้ำมนต์” จึงจัดสรรเวลาเพื่อบินไปทำสิ่งที่ควรจะเป็นในฐานะรุ่นพี่นางสาวไทยคนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณพ่อและคุณแม่ เพราะเชื่อว่าท่านคงยุ่ง
ทั้งนี้จะเป็นงานศพไม่กี่งานที่ตนจะไป เพราะปกติแล้วจะเลี่ยง เนื่องจากตนวางสีหน้าไม่ถูก หากมีคนเข้ามาขอถ่ายรูป แต่งานนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ส่วนเรื่องของผลการตรวจสอบผลเลือดผู้ขับขี่ และพบว่ามีค่าแอลกอฮอล์สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่สูญเสียลูกสาว ซึ่งใกล้จะรับปริญญาแบบนี้ และทุกคนต่างรู้กันอยู่แล้วว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อการขับขี่รถอย่างไร และที่สำคัญคือ ณ ตอนนี้ คำว่าเสียใจคงไม่เพียงพอกับเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่อยากให้คนที่เห็นข่าวแล้วเข้าไปรุมด่า หรือวิจารณ์น้องคนที่ขับรถโดยที่ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด เพราะทุกคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนทั้ง 4 คนว่าสนิทสนมกันมากแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับน้องคนที่ขับรถนั้น การที่สูญเสียเพื่อนทั้ง 3 คนไป ก็เชื่อว่าจะเสียใจไม่น้อยกว่าคนอื่น และคงจะใช้ชีวิตยากเหมือนกันนับต่อจากนี้ เพราะเป็นต้นเหตุของการทำให้เพื่อนสนิทเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ทั้งนี้ตนจึงอยากให้ทุกคนมองหลายมุม เฝ้าดูพฤติกรรมของน้องที่มีต่อเหตุการณ์นี้ไปก่อน ซึ่งแน่นอนว่าหากสำนึกผิด สังคมก็คงจะให้อภัย แต่ถ้ายังไม่สำนึกผิดก็คงต้องปล่อยให้รับโทษไปเต็ม ๆ เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นไปตามกรรม และผลของการกระทำ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายจะดีที่สุด
การเสียชีวิตของน้องทั้ง 3 คนเกิดขึ้นในวัยที่น่าเสียดายมาก ดังนั้นอยากให้ทุกคนนำเรื่องราวนี้มาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตว่า ผลของการเมาแล้วขับจะเป็นอย่างไร หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาไม่ใช่เพียงแค่คุณอย่างเดียวที่จะเดือดร้อน แต่คนอื่นที่เขาใช้รถใช้ถนนก็ได้รับผลกระทบไปด้วย จึงต้องระลึกตลอดว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่เสี้ยววินาที หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงระหว่างขับรถ
“ดร.บุ๋ม” ยังกล่าวถึงโพสต์ของ “นายถิรเดช” ผู้ขับรถ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ระบุว่า “ขอโทษนะเพื่อนรักที่พาไปส่งไม่ถึงที่หมาย ขอโทษครอบครัวและเพื่อนๆที่ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งนี้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ รักเสมอนะเพื่อน ๆ กูจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่านะ” พร้อมกับอโมจิหัวใจสีดำและแท็กเฟซบุ๊กของ “น้องน้ำมนต์” และเพื่อนอีก 2 คน ซึ่ง “ดร.บุ๋ม” แนะว่าไม่ควรโพสต์หรือเข้ามาอ่านกระแสในโลกออนไลน์ เพราะเชื่อว่ามุมของคนในตอนนี้อันตรายและอ่อนไหวมาก แต่ให้รักษาตัวให้หายดี เข้าพบจิตแพทย์ แล้วเดินทางมาที่งานศพของเพื่อนแต่ละคน เพื่อขอขมาและปล่อยไปตามการดำเนินการของกฎหมาย
สุดท้ายนี้ตนก็ขอส่งความระลึกถึงน้องทั้ง 3 คน และส่งพลังใจไปยังครอบครัวทั้งหมด เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสีย แต่อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ก็ต้องสู้กันต่อ
รศ.ดร.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ให้บุคลากรของทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เดินทางไปร่วมงานศพผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย พร้อมทั้งมอบเงินสวัสดิการนักศึกษาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นเงินรายละ 1.3 แสนบาท
ส่วนของนายถิรเดช รังษี อายุ 23 ปี คนขับ ขณะนี้ได้ออกจากโรงพยาบาล และได้เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว ขณะนี้ได้เดินทางกลับไปพักตัวที่บ้านพัก โดยสภาพจิตใจของนายถิรเดช ยังย่ำแย่ หลังเป็นคนขับรถไปประสบอุบัติเหตุ ทำให้เพื่อนเสียชีวิต ซึ่งทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเยียวยาสภาพจิตใจเพราะนายถิรเดช ยังคงอยู่ในอาการโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมีผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย เป็นเพื่อนสนิทกันในคณะวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้มาตรการที่จะลดอุบัติเหตุภายในรั้วมหาวิทยาลัยขอนแก่น เตรียมใช้กล้องจำกัดความเร็วเข้ามาใช้ ซึ่งกล้องจะสามารถบันทึกหมายเลขทะเบียนรถ คาดว่าจะลดอุบัติเหตุในพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้