เผยนาทีหญิงดูดไขมันช็อกตายคาคลินิก สะอึก 1 ครั้งก่อนร่วง ชี้พิรุธในถังขยะ (คลิป)

กรณีนางศรัณย์ภัทร์ กาญจนสุวรรณ์ อายุ 54 ปี น้องสาวของนายถาวรวัฒน์ คงแก้ว อดีตรองผู้ว่าราชการ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว พักอาศัยอยู่ในบ้านพักย่านถนนเสรีไทย แขวงและเขตคันนายาว ได้ไปดูดไขมันที่คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่งย่านซอยรามคำแหง 24 แยก 22 จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 20 ก.พ.64

โดยในวันที่ 21 ก.พ.64 ทางครอบครัวได้ร้องเรียนสื่อมวลชน เพื่อเอาผิดกับคลินิกดังกล่าวให้ถึงที่สุด และยืนยันไม่รับเงินค่าชดเชย ที่ทางคลินิกเสนอให้ลูกสาวของผู้เสียชีวิตในวันเกิดเหตุ

ล่าสุดวันที่ 22 ก.พ.64 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) นำโดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการ สุขภาพ (สบส.) และทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกเสริมความงาม ซอยรามคำแหง 24 แยก 22 เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

นพ.ธเรศ เปิดเผยว่า หลังจากที่ สบส. ได้รับข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตจากการรับบริการดูดไขมัน จึงนำทีมเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบคลินิกแห่งนี้เปิดให้บริการประเภท ไม่รับผู้ป่วยค้างคืน อาคารของคลินิกมีทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ชั้น 1 เป็นชั้นคัดกรองก่อนให้บริการ ชั้น 2 เป็นชั้นที่ให้บริการเรื่องความงาม และเก็บอุปกรณ์ยา และ ชั้น 3 เป็นห้องผ่าตัดขนาดเล็ก

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าถูกต้องตามมาตรฐานตามที่ขออนุญาต และขออนุญาตจัดทำห้องผ่าตัดขนาดเล็กด้วย ภายในห้องผ่าตัดที่เกิดเหตุพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเอาอุปกรณ์วัดสัญญาณชีพ, เครื่องฟื้นคืนชีพ และเครื่องดูดไขมัน ไปเป็นพยานหลักฐานทางคดี แต่พบสิ่งที่กระทำผิดกฎหมาย คือ ทางคลินิกขออนุญาต ดำเนินให้การรักษาช่วงเวลา 17.00-20.00 น. ซึ่งไม่ตรงกับเวลาที่ให้บริการผู้เสียชีวิต ที่ทางคลินิกให้บริการ คือเวลา 12.00-14.00 น.

ทาง สบส.จึงจะดำเนินการไปแจ้งความ ข้อหาดำเนินการประกอบกิจการสถานพยาบาลไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ

ส่วนกรณีของลูกค้าผู้เสียชีวิต ทาง สบส.จะทำหนังสือเชิญแพทยที่ดำเนินการหัตถการไปให้ข้อมูล กับทางแพทย์สภา เพื่อพิจารณาว่าดำเนินการไปตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่ แต่ทางหมอที่ทำหัตถการ ได้พยายามช่วยชีวิตแล้วแต่ไม่สำเร็จ ในส่วนที่ลูกของผู้เสียชีวิตตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดคลินิกถึงไม่ส่งผู้เสียชีวิตไป รพ.อย่างเร่งด่วน ทางคลินิกชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนระหว่างการส่งต่อ ซึ่งอาการของผู้เสียชีวิตในขณะนั้นไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้าย

ส่วนปัจจัยการดูดไขมันที่ส่งผลให้เสียชีวิต ในระหว่าการดูดไขมัน นพ.ธเรศ ระบุว่า การดูดไขมันเป็นหัตถการรักษาที่มีความเสี่ยง โดยเสี่ยงตั้งแต่การใช้ยาเพื่อทำให้คนไข้ลดความเจ็บปวด เพราะยาบางชนิดอาจทำให้ความดันตก เช่น ยาชา ยาลดอักเสบและยาสลบ หรือเกิดจากการใช้เครื่องมือสอดเข้าไป หากดูดไขมันออกในปริมาณที่มากและรวดเร็วอาจทำให้ร่างกายช็อกได้ ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้น จะยังไม่สั่งปลดสถานประกอบการ เพราะยังไม่ใช่ข้อหาร้ายแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แพทย์ผู้ทำหัตถการทราบว่า อายุ 72 ปี เบื้องต้นได้ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์แพทยสภา พบว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2519 มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางสาขา เวชศาสตร์ครอบครัว สาขา โสต ศอ นาสิกวิทยา เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติของหู, จมูก, กล่องเสียงหรือช่องคอ, ศีรษะและคอ และอนุสาขา ศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวพยายามสอบถามน.ส.ยันทา (นามสมมติ) คาดว่าเป็นพนักงานในร้าน ซึ่งเป็นหญิงสาวที่มาเปิดประตูคลินิกและนำทีม สบส.เข้าตรวจสอบ ว่า เหตุการณ์วันดังกล่าวเป็นอย่างไร แต่หญิงสาวรายนี้นิ่ง เงียบและมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินขึ้นรถตู้ของ สบส. ไปในทันที

นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว อดีตรองผู้ว่าราชการ จ.นครศรีธรรมราช พี่ชายผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุเมื่อตนเดินทางไปถึงคลินิกก็พบแต่มูลนิธิเต็มหน้าร้านไปหมด และเมื่อไปถึงห้องที่ดูดไขมัน พบว่าหมอยังคงอยู่ในชุดผ่าตัด และได้คุยกับหมอเบื้องต้นว่า หมอก็พยายามกู้ชีพแล้ว

โดยในส่วนของสถานประกอบการนั้นตนไม่ติดใจ เพราะคิกว่าจะต้องมีใบอนุญาตประกอบการอยู่แล้ว แต่ตนติดใจตรงขั้นตอนปฏิบัติ โดยเฉพาะในห้องที่ผ่าตัด ควรจะมีเครื่องกู้ชีพ มีระบบการส่งต่อที่รวดเร็ว และตัวยาสลบสีชาที่พบในถังขยะ ซึ่งเพื่อนลูกสาวที่เป็นพยาบาลและแพทย์ที่ไปชันสูตรยืนยันว่า ยาตัวนี้ไม่สามารถมีได้ในสถานประกอบการ เพราะต้องใช้ในการควบคุมของวิสัญญีแพทย์เท่านั้น แต่หมอปฏิเสธทันทีว่า ไม่ได้ใช้กับน้องสาวของตน แต่ส่วนนี้ตนก็ขอรอผลชันสูตรยืนยันอีกทีว่า จะพบยาชนิดนี้ในร่างกายน้องสาวหรือไม่

สำหรับน้องสาวไม่ได้มีโรคประจำตัว เป็นคนรักสุขภาพ ออกกำลังกายประจำโดยเฉพาะเรื่องอาหาร คิดว่าน้องสาวจะตกไปเป็นเครื่องมือคนกลุ่มนี้ได้ง่าย เพราะเป็นคนรักสวยรักงาม และยิ่งเจอคลินิกที่โฆษณาชวนเชื่อเกิดจริง ดังนั้นสบส.ต้องเข้ามาควบคุม จัดการ ดูแลอย่างจริงจัง ตนก็กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ และยังจะไม่เผาศพน้องสาวจนกว่าผลชันสูตรจะออกมา

ขณะที่ น.ส.อัยมิญห์ อิทธีรนันท์ อายุ 30 ปี ลูกสาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ประมาณ 2-3 ปี แม่เคยดูดไขมันที่หน้าท้องที่คลินิกแห่งหนึ่งย่ายรัชดาแล้ว 1 ครั้งแล้ว อาการปลอดภัยดีและผลออกมาเป็นที่น่าเพิ่งพอใจ ส่วนเคสล่าสุดที่คลินิกแห่งนี้แม่ดพิ่งเคยทำครั้งแรก แต่ก่อนทำได้ปรึกษาหมอ และโรงพยาบาลหลายแห่ง กระทั่งมาปรึกษาพูดคุยกับหมอที่คลินิกแห่งนี้โดยตรงก่อนประมาณ 1 เดือน จึงตามใจแม่ เนื่องจากแม่เป็นคนที่เวลาจะทำอะไรก็ตามมักจะหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนทำ

ทั้งนี้ตนยอมรับว่าไม่มีสัญญาณว่าแม่จะเสียชีวิต เพราะแม่ยังร่าเริงทุกวัน และตนก็ไม่ได้รู้สึกว่าแม่จะจากไป เนื่องจากแม่ก็เป็นเสาหลักของบ้าน ดูแลธุรกิจของที่บ้านทั้งหมด ในส่วนของการศัลยกรรมนั้น แม่ของตนไม่ได้ดูแลในเรื่องของความสวยความงามเพียงอย่างเดียว แต่แม่เป็นคนที่ชอบพัฒนาตัวเองทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าฝึกอบรม บุคลิกภาพอบรมทางด้านธุรกิจ และเรื่องศัลกรรมก็ทำไม่กี่ครั้ง ได้แก่ทำหน้าอก 1 ครั้ง ทำจมูก 2 ครั้ง ซึ่งเว้นระยะห่าง 10 ปี และดูดไขมัน 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการออกกำลังกาย ซึ่งจะมีการจ้างเทรนเนอร์โดยเฉพาะ

สำหรับการเสียชีวิตของแม่ในครั้งนี้ ยังมีข้อสงสัยอยู่เนื่องจากในวันเกิดเหตุ เพื่อนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องได้มีการช่วยกันตรวจสอบในถังขยะ ซึ่งก็พบยาสลบตัวหนึ่งอยู่ในถังขยะของคลินิก และขยะอีกมากมาย ซึ่งคาดว่าเป็นขยะที่เกิดจากเคสอื่น ๆ และทิ้งอยู่ในถังขยะเดียวกันโดยไม่นำไปทิ้ง ในความเป็นจริงแล้วห้องผ่าตัดหรือบริการลูกค้าไม่ควรจะมีขยะค้างคืน ทำให้ยิ่งสงสัยว่าคลินิกไม่มีความสะอาดหรือไม่ แม่ติดเชื้อหรือไม่ และยังเกิดข้อสงสัยอื่น ๆ อีกมากมาย

ในตอนนี้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งก็หวังว่าเรื่องนี้จะเดินต่อไป เพราะไม่อยากให้ความสูญเสียของแม่หายไป หรือเป็นเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นและจบไปแค่นั้น ซึ่งคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบ เบื้องต้นในวันนี้ได้เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ได้พบกับเจ้าของคลินิก หรือหมอที่ดูดไขมันให้แม่ แต่ก่อนหน้านี้ในวันรับศพแม่ ได้พบกับหมอและสอบถาม ซึ่งหมอก็ยืนยันว่า “ทำตามปกติถูกต้องทุกอย่าง ดูดไขมันไปได้เพียง 20 นาที แต่พบความผิดปกติของแม่ จึงได้พยายามช่วยชีวิตแล้ว”