ข่าว ก็อต ริชชี่ เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ สำหรับคู่รักคู่ใหม่ของวงการ ก็อต อิทธิพัทธ์ กับ ริชชี่ อรเณศ วินาทีนี้ ทุกโมเมนต์ของทั้งคู่ ดีต่อใจแฟนๆ ที่คอยติดตามลุ้นเชียร์ทั้งคู่แบบสุดๆ ล่าสุดได้ควงคู่มารายการ Club Friday Show เป็นแขกรับเชิญสุดพิเศษ เล่าเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ จนได้มาเจอกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน ก่อนะขยับสถานะมาเป็นแฟนกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "ณัฏฐ์ เทพหัสดิน" เผยความรักที่รู้สึกผิดที่สุด ด่าแรง "ทำไมไม่ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา"
- "เชียร์ ฑิฆัมพร" เปิดเหตุผลยอมใจอ่อนให้ "บิ๊ก" หลังโดนตื้อ 2 ปี
- "นนนี่" ลูกสาว "แอน สิเรียม" เปิดเหตุผลแยกทางสามี ได้กลับมาอยู่กับแม่มีความสุขมากกว่า
- "อ๋อม สกาวใจ" เข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก จนเคยคิดฆ่าลูกพี่ลูกน้อง
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม ก็อตยังพอมีเพื่อนบ้าง แต่ริชชี่ไม่มีเพื่อนเลย
ก็อต : ตอนเด็กๆ เราค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง คบเพื่อนประปราย ไม่ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน
ริชชี่ : หนูรู้สึกว่าการที่จะเป็นเพื่อนกันหรือเป็นแก๊ง เราต้องไปพักด้วยกัน ไปเดินห้าง หรือไปทำอะไร หนูไม่ได้เคยไปตรงนั้นกับเพื่อนเลย เราไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าเพื่อนไหม เดี๋ยวเขาไม่ได้บอกเราว่าเป็นเพื่อนหรือเปล่า เวลาให้สัมภาษณ์ เราก็เลยบอกว่าไม่มีเพื่อน เรียนชั้นเดียวกันหนูจำเพื่อน จำชื่อเพื่อนได้หมดเลยตั้งแต่อนุบาล แต่พอเข้าไปทัก เพื่อนจะทำท่าตกใจเหมือนไม่รู้จักเรา ส่วนตอนกลางวัน หนูจะชอบนั่งอยู่ในห้องเรียน แล้วก็นั่งทำการบ้าน เพราะคุณแม่เขาจะทำกับข้าวมาให้ ส่วนเวลาซ้อม จริงๆ เหมือนเวลาซ้อมแทบจะไม่ได้คุยเลยค่ะ เพราะว่าโค้ชดุมาก เขาไม่ให้คุยเวลาซ้อม จริงๆ เพื่อนทุกคนน่ารักกับเรามาก ทุกคนดีไปหมดเลย บางทีเราไม่ได้ไปไหนกับเขา บางทีเขาก็ชวน แต่ว่าเราไปไม่ได้ จนเขาเลิกชวน เพราะเขารู้ว่าเราไปด้วยไม่ได้ มีครั้งหนึ่งโรงเรียนเลิกเร็ว เราก็ถามแม่ว่าเราไปกับเพื่อนๆ ได้ไหม แต่ถ้าเราไป เราก็จะเสียเวลาซ้อม แม่ให้เราตัดสินใจเองว่าจะไปไหม ซึ่งเราก็ไม่ได้ไป หนูไม่เคยรู้สึกขี้เกียจซ้อมเลย เพราะหนูรู้สึกสนุกกับการทำตรงนี้ เรามีเป้าหมาย แล้วเรายังทำไม่ถึง เราก็เลยหมกมุ่นอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
ถาม ซึ่งทั้งก็อตและริชชี่เป็นคนที่ต่างกันสุดขั้ว แต่พอมาได้เจอกัน ในส่วนของกำลังใจที่ขาดหายไปของก็อต ริชชี่คือคนที่เติมในจุดนั้น
ก็อต : ใช่ครับ ตอนนั้นเราเองก็อ่อนแอมากๆ ครับ ก็มีเขา มีคนรอบข้าง ครอบครัว ผู้จัดการ ที่คอยให้กำลังใจด้วย ณ ตอนนั้นเราก็รอผลคุณพ่อจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งตอนนั้นก็มีความหวังเล็ก ๆน้อยๆ แต่อยู่ใน ICU 4 วันแล้ว ตอนนั้นหลายความรู้สึกมาก มันหนัก มันเครียดเรื่องค่ารักษา มันค่อนข้างสูงครับ แล้วตอนนั้นยังถ่ายละครอยู่ จำได้เลย ถ่ายไปได้ไม่กี่ซีนก็ต้องมาโรงพยาบาล มาฟังผล พอไปนั่งฟังผล คุณหมอก็พูดตรงมาก คือไม่ดีกับไม่ดีมาก ๆให้เราเลือกเอา เราจะเลือกแบบไหน ปล่อยเลยกับพาคุณพ่อกลับมารักษาที่บ้าน แต่แบบไม่สมบูรณ์เลยนะ ตอนนั้นเราก็ช็อกไปเลย ตอนอยู่กับหมอไม่ร้องนะ แต่พอออกจากประตูมา เราก็ร้องเป็นชั่วโมง จนสุดท้ายเราตัดสินใจว่าเรายังคงรักษากันอยู่ต่อไป ไม่ปล่อยเพราะว่าเรายังทำใจไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งที่เครียดคือเรื่องค่ารักษา มันจะมีโครงการหนึ่งของรัฐบาลที่เขาจะช่วยเหลือผู้ป่วยแบบนี้ครับ ไม่ว่า Stroke หรือฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นเราก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง เราเคยพูดว่าเก็บไว้ เผื่อครอบครัวมีคนป่วยต้องใช้ ไม่คิดเลยว่าต้องใช้เร็วมาก แต่คุณอาของผู้จัดการส่วนตัวที่เป็นคุณหมอก็แนะนำให้ยื่นเรื่องไป เผื่อช่วยได้ ซึ่งมันก็ช่วยได้ เขาจะครอบคลุมค่ารักษาให้หมดเลย
ก็อต : ตอนนั้นเราก็ต้องการกำลังใจมาก แล้วบอกกับตัวเองต้องไหวๆ นะ งานก็ยังคาอยู่ ละครก็เพิ่งถ่ายได้ไม่กี่คิวเอง ครอบครัวอีก แม่อีก เราก็กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวเลยตอนนั้น เราไม่พร้อมเลยจริงๆ ผมรู้สึกตัวเองเด็กมากๆ เราคิดว่าเราจะจัดการเรื่องเงินยังไง น้องสาวเราเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย คุณแม่ก็ไม่ได้ทำงาน มีคุณพ่อที่ป่วยอีก แต่เราก็เริ่มมาทยอยจ่าย ทยอยเคลียร์ แล้วพอพาคุณพ่อกลับมาบ้าน เราก็ต้องทำห้องให้กลายเป็นคลินิกเล็ก เพื่อให้คุณพ่อกลับมาอยู่ที่บ้าน
ริชชี่ : ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเขาชอบอะไรเลย แต่แค่รู้สึกว่าเขาพูดว่าเหมือนอยากคุยด้วย เพราะว่าเครียดมาก อยากพูดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องนี้ เขาก็จะบอกว่าเหมือนเขาคุยกับเรารู้สึกดีขึ้น หายเครียดในช่วงเวลาหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าอย่างไรก็ได้ เราช่วยเขาได้เราก็อยากช่วยเขาให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ก็พยายามแบบทักไป
ก็อต : ต้องบอกว่าเวลาที่เราชอบใคร เราจะมีฟอร์ม ไม่พูดอะไรเยอะ เราจะดูไปก่อน ดูเชิงก่อนว่าเขาเป็นยังไง แต่วิธีการจีบของเราคือการเล่าทุกอย่างในชีวิตเรา แล้วโชคดีมากที่เขาเป็นผู้ฟังที่ดี ผมชอบที่เป็นคนฟังที่ดีครับ เพราะเราไม่ค่อยเคยเจอผู้หญิงที่ฟังเรา ส่วนใหญ่พูดแล้วจะเถียงกลับมา แต่พอมาคุยกับเขา เราก็รู้สึกอ่อนลงได้ ผ่อนคลาย เราหยอดต่อ มีความเครียดด้วย แต่เราก็อยากจีบเขาต่อ ซึ่งเขาก็ฟังเราทุกอย่าง จนหลังๆ จากเรื่องครอบครัวก็ไปเป็นเรื่องอื่น เป็นเรื่องที่ผ่านมาประสบการณ์ชีวิต มีแฟนไหม ชอบทำอะไร ชอบผู้ชายแบบไหน ชวนดูหนัง กินข้าว บางครั้งเลิกกอง เราไปส่งไหม ไปส่งสนามบินจะกลับไปเชียงใหม่ เราก็รอ เขาก็บอกไม่เป็นไร
ริชชี่ : เขาก็มาชวนหนูดูหนัง แต่หนูบอกเขาว่าหนูลดน้ำหนักค่ะ
ก็อต : ผมส่งอะไรไป เขาก็จะไม่ใส่ใจแต่เราก็ไม่ยอมแพ้ หรือโกรธอะไรนะครับ คือเราเข้าใจ
ถาม กำลังใจสำคัญสุดในวันที่ก็อตต้องรับมือกับเรื่องคุณพ่อ แล้วพอทุกอย่างผ่านพ้นไป ริชชี่เป็นคนที่บอกเองว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าหมดปัญหานั้นแล้ว ไม่ต้องโทรมาบ้างก็ได้
ก็อต : เป็นช่วงที่ละครกำลังจะปิดกล้องด้วย เขาเลยบอกเราตรงๆ ว่ายังไง ไม่ต้องคุยก็ได้
ริชชี่ : มันเหมือนที่ผ่านมาเวลาคุย เขาก็จะพูดตลอดว่าคุยเรื่องงาน แล้วเขาก็จะพูดว่าเขาเศร้า เวลาที่คุยกับเราแล้วดีขึ้น เราก็เลยรู้สึกว่าเราช่วยได้ เราก็ช่วย ถ้าเขาดีขึ้นแล้ว กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ แฮปปี้แล้ว เราก็ไม่ต้องคุยกับเขาเหมือนเดิมแล้วก็ได้ ให้เขากลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมาเขาก็มีความสุขอยู่แล้วที่ไม่ได้มีเรา เราก็รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน พอผ่านไปก็คุยเรื่องทำงานด้วยกัน เขาอยากปรึกษาพูดเรื่องบทหลังเลิกงานค่ะ เราก็รู้สึกว่าอ๋อ เพราะมันเป็นเรื่องงาน ก็เลยคุยด้วยได้ พอจะจบงานแล้วหนูก็เลยไม่มีอะไรให้คุยแล้วนะ แบบว่าจบงานแล้ว แล้วอีกอย่างหนูยังไม่ได้อยากสนิทกับใครมากขนาดนั้นด้วยแล้วเรารู้สึกนิดๆ ว่าเขาอินผิดปกติ แล้วเราก็เล่นละครมาเยอะ เราก็รู้สึกว่าเขาอาจจะยังไม่เคยเล่นละครที่แบบคู่กับผู้หญิงอะไรจริงจัง เขาอาจจะยังไม่รู้การเล่นละครมันสนิทกันนะ บทมันอาจจะพาไปหรือเปล่า
ก็อต : เราเข้าใจในมุมมองเขาว่าบทจะพาไปนะ เหมือนเขาอยู่ใน safe zone อย่างที่เขาบอก เพราะเขาไม่ได้อยากสนิทกับใคร ก็เลยโอเคก็ยังเป็นเพื่อนกัน เราก็ถอยมาตั้งหลักก่อน ที่ยังไม่ได้บอกเขาตอนนั้น เพราะเราก็ยังไม่มั่นใจด้วยว่ามันจะยังไงต่อ เราไม่มีโอกาสไปเดทกับเขาเลย ชวนไปไหนเขาก็ปฏิเสธตลอด เอาง่ายๆ จีบไม่ติด เราก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าเราจีบ เราก็ดูเชิงเขา กลัวเขาไม่โอเคกับสิ่งที่เราทำ เราก็เลยถอดใจก่อน บวกกับช่วงนั้นเขากลับไปเชียงใหม่ด้วย ก็เป็นช่วงที่เราห่างกัน
ริชชี่ : ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาทักมา หนูก็คิดว่าเดี๋ยวสักแป๊บหนึ่งเขาก็คงหายไป เหมือนเรื่องที่เขาพูดเรื่อง forever หนูรู้สึกว่าไม่มีแฟน ไม่ชอบอะไรตั้งแต่เด็ก เพราะหนูรู้สึกว่าไม่ได้ตลอดไป คบกันตอนนี้ หนูอยากให้มันตลอดไป อย่าง พี่สาว ความรักมันไม่มีวันหาย
ก็อต : เขาจะพูดความรักในครอบครัว กับพี่สาว กับพ่อแม่มันคือ forever อยู่แล้ว แต่ความรักกับคนอื่น มันอาจจะแบบไม่มั่นคง ไม่ถาวรเท่ากับความรักของครอบครัว ซึ่งเราก็เข้าใจในมุมมองของเขานะครับ
ถาม ตอนที่ก็อตหายไป คิดถึงไหม
ริชชี่ : ก็มีบ้างค่ะ เราก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง คือเราเป็นคนที่ชอบคิดทุกอย่างเป็นทฤษฎีค่ะ มนุษย์เราพอผูกพันอะไรช่วงหนึ่ง พอเวลาผ่านไปเท่านี้ เดี๋ยวมันก็จะลืม จะหาย จะโอเค พอเรากำลังจะเริ่มหาย จะดีแล้ว เขาอยู่ดีๆ ก็ทักมา เราก็จะแบบหือ!!
ก็อต : พอหลังจากนั้นช่วงโปรโมทละครก็กลับมาเจอกันอีกรอบ เขาก็ออกจาก safe zone มากขึ้น เพราะเจอกันบ่อยมากขึ้น เขาก็จะมีเรื่องให้เราปรึกษา ไปมาเรารู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว เราก็เริ่มต้นที่อยากจะชัดเจนกับเขาอีกรอบ เราก็ชวนเขาหาอะไรเล่น เผื่อจะรู้สึกเขินบ้างหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ แอบจับมือ ขอเล่นมือ ไลน์หากลับมาเหมือนเดิม
ถาม คราวนี้ชวนกินข้าว ไม่ได้อยู่ในสภาวะลดน้ำหนักแล้ว การที่ก็อตพาไปกินข้าวครั้งแรก เป็นเรื่องใหญ่ของริชชี่มาก
ริชชี่ : เพราะที่บ้านจะมีแอปที่สามารถเช็กได้ว่าหนูอยู่ตรงไหนแล้ว แม่ก็จะดูตลอดเวลา เพราะเมื่อก่อนเขาจะรับส่ง เฝ้าเราตลอด เหมือนวันนั้นทำงานแล้วเลิกดึก เขาก็บอกว่าหิวข้าว ออกไปกินข้าวกันไหม มันใกล้มาก หนูก็กลับไปล้างหน้า เปลี่ยนชุดก่อน แล้วคุณแม่ก็จะเห็นว่าเรากลับถึงบ้านแล้ว เพราะมันจะแจ้งเตือนเวลาเราถึงบ้าน แล้วเราก็ไหลๆ ไปจากที่พัก ที่บ้านก็โทรมา แล้วหนูก็รู้สึกว่าเขินที่บ้านโทรตามตลอด เลยไม่ได้รับ
ก็อต : เพราะปกติริชชี่จะไม่ไปไหนเลยครับ ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน พอเปลี่ยนที่อยู่ เริ่มมาโปรโมทละคร เขาไปกินข้าวที่อื่นกับผม แม่เขาอาจจะตกใจ
ริชชี่ : พยายามถามว่าออกไปไหน แม่ก็เลยเป็นห่วงมากว่าไปไหน แต่พอแม่รับสาย หนูแปลกใจมากว่าเหมือนแม่รู้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นก็อต เพราะว่าริชชี่ไม่น่าออกไปไหน แล้วก็ไม่น่าออกไปกับใคร เหมือนช่วงนั้นเราทำอะไรหรือชีวิตเป็นอย่างไร อะไรเกิดขึ้นบ้าง แม่บอกว่ารู้อยู่แล้ว พอเรารับแม่ก็ถามว่าอยู่กับใคร หนูก็ไม่กล้าพูด แม่ก็บอกว่าอยู่กับก็อตใช่ไหม เราก็ตกใจ ทำไมแม่รู้ ก็หนูไม่ได้มีเพื่อนไง แม่เขาเลยเดาไม่ยาก
ก็อต : ตอนนั้นผมเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาที่เจอกันบ่อยที่สุด
ริชชี่ : แม่กับพ่อก็พูดว่ารู้อยู่แล้วว่าหนูเหมือนน่าจะชอบก็อต เพราะว่าหนูเป็นคนที่แบบ ถ้าไม่สนใจหรือว่าอะไรตั้งแต่เด็กคือไม่เอาเลย ไม่มองหน้าใครเลย ต่อให้แบบว่าอยู่ตรงหน้าหนู จะไม่โฟกัสเลย แต่สำหรับก็อต แค่เขาทักมาแล้วเราตอบ พ่อแม่ก็รู้แล้วว่าน่าจะมีใจ
ถาม แล้วจุดไหนที่เรายอมรับกับตัวเองว่าเราชอบเขาแล้ว
ริชชี่ : (ยิ้ม) เราก็รู้สึกว่าเราชอบเขาแหละ แต่แบบเพื่อนอะไร เหมือนมีวันหนึ่งที่ไปทำงานแล้วก็ที่ให้พูด ที่เขาตัดคลิปออกมาอะไรสักอย่าง เป็นเหมือนแบบให้พูดไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วพูดถึงกันค่ะ แล้วเขาก็ไลน์มาว่าแบบได้ดูหรือยัง ที่เราพูดไปเราพูดจริงหมดเลย แล้วก็พิมพ์ยาวมาก นู่นนี่นั่น (หัวเราะ)
ก็อต : ใช่ๆ เป็นช่วงบอกความในใจครับ เราบอกเขา เราตั้งใจว่าครั้งนี้ออกงานด้วยกันบ่อยๆ เจอกันบ่อยอย่างนี้ พอยิ่งมากขึ้น เราเลยตัดสินใจว่าเราจะชัดเจนขึ้น จำได้ว่าส่งไปยาวมาก แต่ก่อนส่งเราก็มานั่งคิดไตร่ตรองว่าเราจะพูดอย่างไรดีให้เขาเข้าใจ ไม่ตกใจ แล้วก็หนีไป เราจะบอกเขาว่าเรามาดีนะ อย่าเพิ่งกลัว ก็คิด เปลี่ยน ลบเปลี่ยนแล้วก็ยาวมาก ส่งให้เขา
ริชชี่ : เหมือนเขาบอกว่าสิ่งที่เขารู้สึกตอนละคร ตอนนั้นเขาพูดถึงละครว่าตอนละครอินมากเลย เหมือนชอบเรา แต่หนูแบบตอนพ้นละครมาคือไม่ได้คุยกันแล้ว ก็แปลว่าเลิกชอบไปแล้วหรือเปล่า ตอนนี้มันผ่านไปแล้ว เขาพูดถึงตอนนั้น ไม่ใช่ตอนนี้อะไรอย่างนี้ค่ะ หนูคิดค่ะ แล้วหนูก็พิมพ์บอกเขา อ๋อ..โอเคมันผ่านไปนานแล้วเนอะ เขาก็บอกว่ายู มันไม่ใช่อย่างนั้น แล้วเสร็จมันดึกแล้วอย่างนี้ค่ะหนูก็เลยบอกว่าใจเย็นๆ นะ นอนก่อนไหม เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันก็ได้ เขาก็บอกเราว่าเขาอยากอธิบาย คุณไม่เข้าใจตรงไหน คุณถามสิ เราก็บอกว่ารีบเหรอค่อยอธิบายวันหลังก็ได้
ถาม ข้อความนี้หรือเปล่าที่ริชชี่เอาให้ผู้จัดการดู
ริชชี่ : เรามีผู้จัดการคนเดียวกัน เรารู้สึกว่าเราจะเชื่อได้หรือเปล่า เราไม่แน่ใจว่าเขาจะชอบหนูจริงไหม เพราะว่าเหมือนระหว่างนั้นตอนเป็นเพื่อนกัน เขากำลังคุยกับคนนี้อยู่นะ เราก็รู้ว่าเขาเคยคุยกับใครบ้างตลอด เขาก็เล่าให้เราฟัง เราก็เลยรู้สึกว่าเขาอาจจะไม่ได้ชอบเราจริงขนาดนั้นเหมือนที่เขาพิมพ์หรือเปล่า แต่มีช่วงที่แบบเหมือนเขาก็ไปคุย ขาก็แบบนี่ๆ เขาไปคุยกับคนนี้
ก็อต : ไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้
ริชชี่ : เราก็เลยถามพี่โน๊ต ก็บอกว่าแบบถ้าถามว่าชอบหนูจริงไหม พี่โน๊ตบอกว่าตอนที่พี่โน๊ตยังไม่รู้จักหนูเลย ตอนถ่ายแรกๆ ก็อต เคยมาถามพี่โน๊ตว่าแบบเจอเพื่อนที่แสดงด้วยกัน เขามีปัญหา รู้สึกเป็นห่วงจังเลย พี่ช่วยไปดูหน่อยได้ไหม พี่โน๊ตบอกพี่รู้นานแล้วว่าเขาชอบหนู เพราะพี่โน๊ตก็ถามว่าไปยุ่งอะไรกับเขา ชอบเขาเหรอ เขาก็บอกว่าเปล่า เป็นห่วงเฉยๆ พี่เขาบอกว่าน่าจะชอบหนูนานแล้วแต่ว่าไม่กล้า แต่พิมพ์มาขนาดนี้ พี่โน๊ตบอกว่าไม่เคยเห็นเขามุมนี้เหมือนกัน พี่โน๊ตก็บอกเขาไม่ได้เจ้าชู้นะ ถ้ากลัวเรื่องเจ้าชู้แบบโอเค หนูก็เลยรู้สึกโอเค
ถาม แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งคือริชชี่เห็นว่าก็อตคือเพื่อนที่สนิทที่สุดที่เราไม่อยากสูญเสียเขาไปเลย ก็เลยมีประโยคนี้ขึ้นมาว่า เป็นเพื่อนกันเถอะนะ เราจะได้รักกันได้นานๆ อย่างนี้
ริชชี่ : หนูเคยพิมพ์บอกเขาอยู่ค่ะว่าแบบไม่อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หนูว่าถ้าวันหนึ่งหนูต้องผิดหวัง อกหักหรือมีความรัก หนูก็อยากให้เขาเป็นคนที่อยู่ข้างหนู ปลอบหนูหรือเป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ อยากให้เขาเจอความรักดีๆ แล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่อะไรอย่างนี้ค่ะ
ก็อต : เขาจะพูดกับผมแบบนี้ประจำ แต่ว่ามุมมองผมก็คือถ้ารักกัน มันสามารถเป็นได้ทุกอย่าง เพื่อนก็ได้ อยากให้เป็นโหมดไหน ผมเป็นได้หมดเลย คนรักกันไม่จำเป็นต้องหวานตลอดเวลา ไม่จำเป็นว่านี่คือแฟนนะ ต้องแบบนี้ อย่างผมเริ่มเข้าหาเขาด้วยการเป็นเพื่อนเพราะว่าผมอยากให้เขาชิน อยากให้เขาซึมความเป็นผมเข้าไป ผมจะมีมุมมองความรักประมาณนี้ครับ เราอยู่กับเขา ถ้าเขาเปิดนะ เราก็จะเป็นได้ทุกอย่างเลย อยากเห็นโหมดไหนได้หมดเลย ซึ่งทุกวันที่เราอยู่ด้วยกัน หมายถึงว่าพอเริ่มเปิดตัวว่าคบกัน เราก็ยังมีความเป็นเพื่อนกัน ยังมีความเป็นแบบเหมือนเมื่อก่อน ความรักให้กันเราก็มี
ถาม ข้อความนั้นคือข้อความขอเป็นแฟนไหม
ก็อต : ยังครับ
ริชชี่ : เขาแค่พิมพ์ว่าชอบนะ คุณไม่ต้องกลัวเรานะ ทุกอย่างเหมือนเดิมเลย
ก็อต : เอาง่ายๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ผมจะพิมพ์ง่ายๆ เราชอบเธอนะ แต่ถ้าเป็นริชชี่มันต้องยาวหน่อยไง เพื่อให้เขาได้เข้าใจในข้อความเดียว มันคือเป็นจุดเริ่มต้นมากกว่าว่าเขาเข้าใจแล้ว เราชอบเธอนะ
ริชชี่ : หนูก็ตอบข้อความนั้นค่ะ แต่เหมือนข้อความเขาจะลงท้ายว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลยนะ เรายังเป็นเพื่อนกัน แล้วแบบว่าไม่ต้องห่วงเรา แค่บอกเฉยๆ เพราะเรารู้สึกว่าชีวิตเรามันสั้น เราก็เลยอยากบอกไว้ก่อน หนูก็เลยบอกเขาว่าขอบคุณมาก แต่ตอนนั้นหนูยังไม่เชื่อด้วยค่ะ เลยตอบเขาว่าไม่ต้องบอกว่าชอบเราหรอก เขาก็เลยขอไลน์พี่สาวที่สนิทมากๆ หนูเลยบอกว่าแบบเขาคงไม่ได้ชอบเรา
ก็อต : เวลาใครบอกผมว่าเราเป็นเพื่อนกันเถอะ ผมจะพูดสวนเลยว่าเราเป็นได้ทุกอย่าง เพราะเราเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมานั่งแบ่งว่าต้องเป็นเพื่อนกัน หรือว่าต้องเป็นแฟนกันคนเรา ถ้าอยากอยู่ด้วยกันนานๆ มันต้องเป็นให้ได้ทุกอย่าง
ถาม แล้ววันไหนที่เราโอเคเป็นแฟนกันแล้วนะ
ก็อต : พอหลังจากที่บอกเขา เขาก็เริ่มปรึกษาพี่ เขาก็ให้คำแนะนำมา ให้ทุกอย่างมันโอเค เราเปิดอยู่แล้ว ตัวเขาก็เริ่มเปิดแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มชัดเจน ไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น มีการสนทนาจีบกันมากขึ้น
ริชชี่ : ไม่มีวันที่พูดแบบนั้น (ที่บอกว่าเป็นแฟนกันนะ)
ก็อต : ระหว่างทางที่เราเริ่มเปิด เขาเปิดแล้ว เราเริ่มต้นความสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่งครับ เขาถามตลอดว่าแบบนี้คืออะไร มันคือแฟนหรือเปล่า เราก็จะพูดแบบเขินๆ เราไม่ได้พูดตรงไปตรงมา เราจะเน้นเป็นการกระทำมากกว่าให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำเนี่ย เราไม่ได้ทำแบบนี้กับคนทั่วไปหรือกับเพื่อนนะ แล้วก็จะมาพูดอีกทีคือตอนลงรูปเลย
ถาม ริชชี่ได้คุยกับ พี่โน๊ต ผู้จัดการ พร้อมไหมที่จะเสี่ยง
ริชชี่ : พี่โน๊ตก็จะพูดแบบเหมือนที่ผ่านมาจริงๆ หนูอยู่คนเดียวได้นะ หนูชอบการอยู่คนเดียว หนูอยู่คนเดียวมาตลอด มันแฮปปี้มาก หนูมีความสุขกับพี่สาว ทุกคนรักหนู แล้วหนูก็ไม่มั่นใจว่าถ้าแบบเขาเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนแล้วมันจะโอเคไหม แล้วคือหนูไม่อยากเป็นแฟนเก่าใคร หนูไม่อยากเป็นแฟนแล้วก็เลิกวันหนึ่ง หนูจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากับเขา พี่โน๊ตก็บอกว่ามันไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าทุกวันนี้ที่ผ่านมาเวลาที่ริชชี่ปฏิเสธตลอด ริชชี่เสียใจไหม ถ้ายังทำแบบนั้นต่อไปให้เราถามใจตัวเองว่าแบบพอหรือยัง หนูรู้สึกว่าเราชอบคิดว่าปฏิเสธดีกว่าเสียใจ แต่ไม่อยากเสียใจมากกว่านี้ ถ้าทุกอย่างมันแย่แล้วต้องเลิกกันแบบนั้นคงเสียใจกว่าเคยดูในโทรทัศน์มามันดูเฮิร์ตมากเลย
ถาม ก็อ มีบทเรียนที่เห็นคุณค่าของเวลาเยอะมาก และวันนี้ถึงได้รู้ว่าเวลาที่มีกันและกันมันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด จะกลัวอะไรไปก่อนข้างหน้า ถามว่าแล้วเราจะเห็นข้างหน้าก่อนไหม ก็ไม่เห็นอยู่ดีอีกก็ทำวันนี้ให้ดี ริชชี่ เห็นหรือยังความรักมันไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่คิดเลย
ริชชี่ : บางมุมหนูก็รู้สึกว่าเหมือนตอนนี้มันเพิ่งเริ่มต้น เราก็ยังมีคิดอยู่บ้าง เพราะเราก็ยังไม่ชิน ตลอดเวลาทั้งชีวิตเราอยู่คนเดียวมาตลอด แต่ตอนนี้เราก็ไว้ใจเขา แต่หนูก็ยังไม่ชินกับคำว่าแฟน เหมือนพี่โน๊ตเคยให้ตัวเลือกหนู ให้เรียงก่อนที่เราจะเปิดใจให้เขา คือมีตัวเอง ครอบครัว แฟน เพื่อน หนูก็บอกว่าต้องตัวเองก่อนใช่ไหม ครอบครัว แฟน แล้วแฟนล่ะ คือหนูยังไม่เคยมีแฟน เราก็คิดว่าเอามาไว้กับครอบครัวแล้วกัน เพราะเราเลือกคนนี้แล้วเขาคงเป็นคนที่เรารู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนครอบครัวเราอีกคนหนึ่งที่เราไว้ใจมากทุกอย่าง
ถาม อย่ากังวลอนาคตจนหมดความสุขในปัจจุบัน สิ่งที่เราพยายามมาวันนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง
ก็อต : ผมมองว่าความรักคือสิ่งสวยงามอยู่แล้ว เราจะสามารถมีความรักไปด้วย ทำงานไปด้วย ผมว่ามันก็ได้ เพราะว่าผมอยากได้ 2 อย่างในชีวิตผม ครอบครัว ความรัก การทำงาน ซึ่งตอนนี้มีมาพร้อมกัน รู้สึกชีวิตเริ่มดีขึ้นมากๆ แล้ว
ถาม กระแสตอบรับของแฟนคลับเป็นยังไงบ้าง
ก็อต : ตอนแรกเราสองคนก็ต้องบอกว่าเราก็กล้าๆ กลัวๆ นะครับ มันจะเป็นยังไงถ้าเปิดตัว แต่สุดท้ายมันมีคนที่ชื่นชอบอยู่แล้ว เขาชอบตั้งแต่ที่เราเล่นละคร ไปออกรายการเขาเชียร์ตลอด เพราะเขามองว่าเราเข้ากัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ ที่เรามีความรักให้กันแล้วมีคนชอบ มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว ก็ดีใจครับ
ถาม ฟังการเดินทางความรักของก็อต ริชชี่ เหมือนดูซีรีส์เลย มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วอยากบอกอะไรกัน ณ วันนี้
ก็อต : ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรยาวๆ แล้ว เพราะว่าพูดไปเยอะแล้ว ก็อยากจะบอกว่า เดินไปด้วยกันไป ไปได้ไกลนะ จับมือกันไป แล้วก็ไปสู่สิ่งที่เราหวังด้วยกันทั้งคู่ อยากมีอะไรเขามีความฝันตลอด ซึ่งผมเองก็มีความฝัน เราก็จะจับมือกันไป ทำความฝันให้สำเร็จ แล้วก็ใช้ชีวิตกันให้ดีที่สุด แล้วก็สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนๆ ได้รับชมด้วย
ริชชี่ : ดีใจที่ได้รู้จักเขาค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าดี ขอบคุณที่เขาฃอดทนรอ ใช้ความพยายามมากๆ เลย เพราะหนูรู้สึกว่าเราคิดมาตลอดเลยว่าถ้าเราไม่ได้เจอคนแบบนี้ ไม่ได้เป็นแบบที่เขาเป็น เราก็ไม่อยากมีแฟน ไม่ได้อยากมีใคร เราแฮปปี้อยู่แล้ว แต่พอมีคนหนึ่งที่เขาเป็นแบบนี้ จนเรารู้สึกว่านอกจากอยู่คนเดียวแล้ว เราก็รู้สึกว่าอยากมีเขาในชีวิตด้วย
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป