กรณี ส.ต.อ.ปิยะ นาโควงค์ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ก่อเหตุฆ่าน.ส.ธัญญ์นิศา วิชนันท์คุณนิธิ อายุ 40 ปี แฟนสาว โดยใช้หมอนกดจมูกจนสิ้นใจ จากนั้นได้นำศพใส่กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ แล้วนำใส่รถกระบะไปเผาบริเวณซอย รร.วิเชียรกลิ่นสุคนธ์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้ยางรถยนต์ 2 เส้นจุดไฟเผาจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นได้นำกระดูกที่เหลือใส่ถุงเดินทางมาทิ้งที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกลางสะพานอโยธยา ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา
ล่าสุดวันที่ 14 มี.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานว่า พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เชิญครอบครัวของ น.ส.ธัญญ์พิศา มายัง สภ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นได้นำตัว ส.ต.อ.ปิยะ เข้ามาในห้อง โดยใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 1 ชม.
พล.ต.ท.อำพล เปิดเผยว่า ส.ต.อ.ปิยะ กับน.ส.ธัญญ์พิศา ผู้เสียชีวิต คบหากันมา 3 ปี ไม่มีลูกด้วยกัน ผู้ตายเป็นคนขยันค้าขาย เปิดร้าขายยำเล็ก ๆ ซึ่งสาเหตุเกิดจากความหึงหวง ทำให้มีปากเสียงกันภายในบ้านพัก โดย ส.ต.อ.ปิยะ มีรูปร่างใหญ่ ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงตัวเล็ก เมื่อถูกจับคว่ำหน้ากดกับที่นอนทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิต
เมื่อทราบว่าเสียชีวิตแล้ว ส.ต.อ.ปิยะ จึงได้นำศพใส่ถุงทะเลนำขึ้นรถจักรยานยนต์ แล้วมาหลบที่อาคารฝึกสุนัขดมกลิ่น ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา รอเวลาจนดึกจึงนำศพขึ้นรถยนต์สายตรวจ พร้อมกับขนยางรถยนต์มาด้วยจำนวน 2 เส้น แล้วมุ่งหน้าไปยังจุดที่เผาศพ ระหว่างทางได้แวะซื้อน้ำมัน
จากนั้นได้ไปยังจุดที่เผาศพ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. กระทั่งสภาพศพถูกเผาไหม้ไปประมาณ 80% จึงนำไปทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วขับรถกลับมายังที่พัก ญาติมาแจ้งคนหาย ตำรวจเกิดความสงสัยจึงนำตัวมาสอบสวนจนผู้ต้องหารับสารภาพ
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ที่เกิดเหตุ ยังคงมีร่องรอยของการเผาไหม้ ซึ่งในวันนี้ทางด้านของครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้เดินทางกลับมายังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อค้นหาชิ้นส่วนโครงกระดูกของ น.ส.ธัญญ์นิศา วิชนันท์คุณนิธิ อายุ 40 ปี
โดยในช่วงแรกมีการใช้ไม้ช่วยกันเขี่ยหาแต่ไม่เจอ กระทั่งมีการจุดธูป บอกกล่าว โดยทางญาติเรียกกลับบ้าน และให้หากระดูกเจอ เมื่อปักธูปเสร็จก็เจอชิ้นส่วนกระดูก ประมาณ 10 กว่าชิ้น เก็บใส่ถุงเพื่อเตรียมไปประกอบพิธีทางศาสนา
จากนั้นทีมข่าวเข้าไปพูดคุยกับนางภาวิณีย์ สุภศรี แม่ผู้เสียชีวิต เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ก่อนหน้านี้ลูกสาวของตนถูก ส.ต.อ.ปิยะ นาโควงค์ หรือยะ ผู้ต้องหา ทำร้ายร่างกายประมาณ 3 ครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการตบตี ทำร้ายร่างกาย แขน คอ ใบหน้ามีรอยช้ำ ซึ่งตนก็ไม่เคยได้อยู่ในเหตุการณ์ จะมาเห็นร่องรอยหลังเกิดเหตุไปแล้ว ตนเคยเตือนลูกสาวไปแล้วว่า ให้เลิกเนื่องทำร้ายร่างกายกันแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่หากไม่สามารถตัดขาดกันได้ ก็ขอให้ต่างคนต่างยอมกันบ้าง อารมณ์ร้อนกันทั้งคู่ปัญหาก็เป็นแบบนี้
ทั้งนี้ตนก็เข้าใจว่านายปิยะ หรือยะ รักลูกสาวตนมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะลงมือทำขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่ารักลูกสาวของตนแบบไหน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องหึงหวง แต่ฝ่ายนายปิยะ ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวอื่น โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุ ลูกสาวของตนโทรมาหาแต่ตนไม่ได้รับสาย พอตนโทรกลับแล้วถามว่าไม่มีอะไร ตนก็เค้นถามว่ามีอะไรหรือเปล่าให้บอกมา โดยลูกสาวของตนบอกว่า “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงแม่” ตนถึงกับร้องด้วยความตกใจ เนื่องจากลูกสาวของตนไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ ทำไมวันนี้แปลก ๆ ตนก็เลยไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นลางบอกเหตุอะไรหรือไม่
โดยในวันนี้ตนไปจุดธูปบอกลูกสาวว่า ให้กลับบ้านกับตน และตั้งใจจะไปหาชิ้นส่วนกระดูกเพิ่ม แต่ก็ไม่เจอ พอจุดธูปปักแล้วบอกกล่าว กลับเจอบางส่วน ตนก็เชื่อว่าลูกสาวดลบันดาลให้เจอกระดูก
เส้นทางการฆ่าเมียและเผาอำพราง เริ่มจาก 1.ทำร้ายจนเสียชีวิต ที่บ้านพัก ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา 2.เก็บศพรอเผา ที่อาคารฝึกสุนัข จ.พระนครศรีอยุธยา 3.จุดหยิบยางรถ 2 เส้น ที่สนามยิงปืน จ.พระนครศรีอยุธยา และ 4.ขนศพขึ้นรถยนต์ ที่อาคารฝึกสุนัข จ.พระนครศรีอยุธยา
5.แวะซื้อน้ำมัน และไฟแช็ก ที่ปั๊มน้ำมัน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา 6.เผาอำพราง พงหญ้า อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา 7.ทิ้งชิ้นส่วนลงแม่น้ำ ที่สะพานศรีอโยธยา และ 8.กลับที่พัก ที่ต.ประตูชัย
รถขนศพคันที่ 1 เป็นรถจักรยานยนต์ ทะเบียน 5-1097 บริษัท จ.พูนเพิ่ม พระนครศรีอยุธยา ส่วนรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้ออีซูซุ สีแดง ทะเบียน 23462
น.ส.ขนิษฐา เคร่งครัด ลูกพี่ลูกน้องผู้เสียชีวิต บอกกับทีมข่าวว่า จากการฟังคำแถลงแล้วรู้สึกกังวลใจ มองว่าคดีค่อนข้างเบาไป การบอกว่ามิได้ตั้งใจ ตนมองว่าไม่ใช่ เพราะพฤติการณ์ของผู้ต้องหาชี้ชัดว่าทะเลาะกันแล้วจับตัวพี่สาวของตนนอนคว่ำ แล้วใช้หมอนกดให้ตาย มันคือการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจ เพราะถ้าทะเลาะกันแล้วพลั้งมือบีบคอตาย ตนยังโอเคเข้าใจได้ว่าพลั้งมือ ตนเป็นแค่พลเมืองธรรมดา ก็ไม่รู้ว่ามีการแอบช่วยเหลืออะไรกันหรือไม่
ด้านการของการลงมือ ตนเชื่อว่านายปิยะ ไม่ได้ทำคนเดียวแน่นอน ถึงนายปิยะจะมีรูปร่างตัวใหญ่ แต่การเคลื่อนย้ายศพและการขนยางรถยนต์ก็ต้องมีคนช่วยยก ช่วยดูทางให้ ถ้าตำรวจบอกว่านายปิยะ ทำคนเดียว ก็ขอให้เอาหลักฐานมาให้ทางญาติดู ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้เห็นภาพกล้องวงจรปิด อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
ส่วนเรื่องที่พี่สาวตนใช้มีดชี้หน้านายปิยะ เป็นเหตุการณ์ที่พี่สาวของตนไปขายยำอยู่ที่ลานเบียร์ โดยนายปิยะ บุกเข้ามาเคลียร์แล้วทำร้ายร่างกายด้วยการตบพี่สาวของตน จึงใช้มีดชี้หน้านายปิยะ เพื่อป้องกันตัว จะมาอ้างว่าฝ่ายคนตายโหดร้ายก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายพี่สาวตนก็เป็นคนที่เจ็บที่สุด ส่วนนายปิยะก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร สุดท้ายนี้ตนวอนขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนการศพทางครอบครัวต้องพูดคุยกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ญาติตั้งใจจะนำศพไปจัดงานที่วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร แต่ยังไม่ระบุวัน เนื่องจากต้องรอผลตรวจชิ้นส่วนโครงกระดูกก่อน แต่วันที่ 15 มี.ค.64 เวลา 09.00 น. ทางครอบครัวจะไปทำพิธีเชิญดวงวิญญาณที่บ้านพักตำรวจ สภ.เมืองอยุธยา
จากนั้นทีมข่าวเดินทางไปยังอาคารศูนย์ฝึกสุนัขดมกลิ่น ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา จุดที่ ส.ต.อ.ปิยะ นำร่างน.ส.ธัญญ์นิศา หรือ ฝน มาเก็บเอาไว้ก่อนนำไปเผาอำพราง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง ด้านล่างมีสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ ประมาณ 4 ตัว ด้านบนเป็นห้องเก่าโล่ง มีโซฟาสีแดง คาดว่าเป็นจุดที่ผู้ต้องหานำศพมาวางเอาไว้
สอบถามเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ระบุว่า ตนไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะปกติไม่ได้อยู่ที่อาคารฝึกสุนัขในช่วงกลางคืน ส่วน ส.ต.อ.ปิยะ เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งเคยฝึกสุนัขสีดำ พันธุ์ลาบราดอร์ ชื่อว่า แบล็ค แต่สุนัขตัวดังกล่าวปลดระวางไปแล้ว ไม่ได้นำมาใช้งานดมกลิ่น ที่ผ่านมาก็ยังเห็น ส.ต.อ.ปิยะ แวะเวียนมาที่อาคารฝึกสุนัขเป็นประจำ ไม่มั่นใจว่าได้เข้ามานอนบนอาคารด้วยหรือไม่ เพราะด้านบนไม่ได้เปิดใช้งานแล้ว
ด้านนางสุนี (นามสมมติ) แม่ค้าในพื้นที่ ระบุว่า ส.ต.อ.ปิยะ เข้าออกอาคารฝึกสุนัขเป็นประจำ บางครั้งก็เข้ามานอน เพราะเคยทำงานอยู่ที่ดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุตนยังเห็นอีกฝ่ายเดินขึ้นลงอาคารตามปกติ ไม่ได้มีท่าทีพิรุธ กระทั่งมาทราบตามข่าวว่า อีกฝ่ายก่อเหตุฆ่าเมียตัวเองก็ค่อนข้างตกใจ
โดยจากการตรวจสอบพบว่า อาคารฝึกสุนัขดมกลิ่น อยู่ติดกับสนามซ้อมยิงปืนจุดที่ผู้ต้องหาเข้าไปหยิบยางสำหรับเผา และอยู่ห่างจากกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถานที่ทำงานของผู้ต้องหา ประมาณ 50 เมตร
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายพงศ์พล อายุ 50 ปี เจ้าของร้านคาวบอย ซึ่งเป็นร้านเหล้าในตลาดแกรนด์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุคืนวันที่ 10 มี.ค.64 เวลาประมาณ 23.30 น. น.ส.ธัญญ์นิศา ผู้ตาย มานั่งดื่มเบียร์ที่ร้านตน พร้อมเพื่อนผู้หญิง 1 คน โดยนั่งบริเวณริมด้านนอก หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืน ส.ต.อ.ปิยะ สามีของน.ส.ฝน เดินมาหาเจ้าตัว โดย ส.ต.อ.ปิยะ ยืนอยู่นอกร้านคาดว่ามาตามน.ส.ฝน กลับบ้าน โดย น.ส.ฝน พูดว่า เลิกกันแล้วจะมายุ่งอะไร ซึ่งตนมองแล้วเห็นท่าไม่ดี จึงเดินเข้าไปบอกว่า ให้ไปเคลียร์กันที่บ้าน ไม่อยากให้ทะเลาะกัน เพราะขณะนั้นร้านก็ปิดแล้ว
หลังจากนั้น ตนก็ยังเห็น ส.ต.อ.ปิยะ ยืนจ้องหน้า น.ส.ฝน อยู่ประมาณ 15-20 นาที ก่อนจะยอมเดินออกไปขี่รถจักรยานยนต์ที่จอดเอาไว้ฝั่งตรงข้ามร้านออกไป โดยน.ส.ฝน ยังนั่งร้องไห้อยู่ในร้าน มีเพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยกันนั่งกอด ลักษณะคล้ายให้กำลังใจ ก่อนจะออกจากร้านไปในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 11 มี.ค.64 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ 2-3 ชม. ตนมองว่าฝ่ายชายน่าจะจอดรถดักรอ น.ส.ฝน อยู่ใกล้ร้าน เพราะดูท่าทางที่จ้องมองฝ่ายหญิง ลักษณะคล้ายคนที่โกรธมาก เหมือนตั้งใจเข้าไปหาเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเคยเห็น น.ส.ฝน มานั่งดื่มที่ร้านเป็นประจำ แต่ไม่เคยเห็น ส.ต.อ.ปิยะ โดยวันเกิดเหตุ น.ส.ฝน ก็มานั่งดื่มกับเพื่อนผู้หญิง ไม่มีผู้ชายคนอื่น แต่อาจมีทักทายคนรู้จักโต๊ะอื่น ๆ บ้างเท่านั้น
เปิดแชต "ปิยะ" ข่มขู่ "ธัญญ์นิศา" ว่า "ถ้ายะพัง คุณคิดว่าคุ๊จะเป็นไง" สุดท้ายแล้วฝ่ายหญิงก็ตอบกลับไปว่า "แล้วแต่มึง"
จากนั้นทีมข่าวเดินทางไปยังตลาดแกรนด์ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นจุดที่ น.ส.ธัญญ์นิศา หรือฝน ผู้ตาย เคยขายยำที่ตลาดดังกล่าวก่อนเสียชีวิต โดยพบว่าร้านขายยำอยู่ในพื้นที่ใกล้กับลานเบียร์
สอบถามนางมาลี (นามสมมติ) แม่ค้าในตลาดแกรนด์ เล่าว่า ผู้ตายเพิ่งมาขายยำในตลาดได้ประมาณ 2 เดือน ที่ผ่านมาก็ส.ต.อ.ปิยะ ขี่รถจักรยานยนต์ มาส่งผู้ตายเป็นประจำ บางครั้งก็มาช่วยจัดร้านรวมถึงช่วยขายด้วย กระทั่งวันเสาร์ที่แล้ว (6 มี.ค.64) ช่วงที่กำลังเก็บร้าน เวลาประมาณ 24.00 น. ตนได้ยินทั้งคู่มีปากเสียงกันค่อนข้างดัง โดยผู้ตายพูดในทำนองว่า “มึงตบหน้ากู” ส.ต.อ.ปิยะ ตอบกลับว่า ไม่ได้ตบแค่ผลัก พร้อมพูดว่าฝ่ายหญิงใช้มีดจะจ้วงแทงก่อน หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกัน ตั้งแต่วันนั้นตนก็ไม่เห็น ส.ต.อ.ปิยะ มาช่วยขายยำอีกเลย มีเพียงฝ่ายหญิงที่มาขายกับลูกน้อง จนมาทราบข่าวเรื่องการเสียชีวิตของ น.ส.ฝน
จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบอย (นามสมมติ) อดีตเพื่อนร่วมงาน น.ส.ฝน กล่าวว่า ส.ต.อ.ปิยะ เป็นคนที่ชอบหึงหวง น.ส.ฝนมาก โดยเมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว ตนเจอน.ส.ฝน ในร้านเหล้า ก็เข้าไปทักทายพูดคุยกันปกติ แต่เมื่อตนเดินเข้าห้องน้ำ ส.ต.อ.ปิยะ ก็เดินตามมา พร้อมพูดกับตนว่า “อย่ามายุ่งกับเมียกู” โดยพูดด้วยท่าทีไม่พอใจ
จากนั้นตนจึงเดินกลับไปที่โต๊ะ น.ส.ฝน พร้อมพูดเคลียร์กันว่า ตนเป็นแค่อดีตเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากให้เข้าใจผิด ซึ่งน.ส.ฝนก็โมโหสามี มีการปาแก้วลงพื้น ทำให้ฝ่าย ส.ต.อ.ปิยะ เข้ามาขอโทษตน อ้างว่าเข้าใจผิด หลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่า ทั้ง 2 คนทะเลาะกันบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องหึงหวง เพราะน.ส.ฝน ชอบไปเที่ยวร้านเหล้า ฝ่ายชายก็ไม่พอใจ
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับน.ส.สุฑามาศ เฉยนก อายุ 26 ปี เพื่อนรุ่นน้องผู้เสียชีวิต เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า น.ส.ธัญญ์นิศา หรือ ฝน ผู้เสียชีวิต เคยมาปรึกษาปัญหาชีวิตกับตนอยู่บ้าง เป็นเรื่องของการทะเลาะกับนายปิยะ แล้วมีการทำร้ายร่างกายกัน
โดยน.ส.ธัญญ์นิศา บอกกับตนว่าจะเลิกกับนายปิยะ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเวลาที่นายปิยะ เข้ามาง้อ ในส่วนของของความดีของนายปิยะก็มี คอยช่วยเหลือทางบ้านของน.ส.ธัญญ์นิศา ทุกอย่าง แต่เวลาโมโหก็ค่อนข้างอารมณ์ร้อน ทะเลาะกันเสียงดังขึ้นมึงกูไม่ค่อยไว้หน้าใคร และเป็นคนขี้หึงแบบเกินเหตุ หึงเรื่องไม่เป็นเรื่องค่อนข้างไร้สาระ
ส่วนน.ส.ธัญญ์นิศา ก็เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ใจอ่อนง่าย แต่เท่าที่ตนรู้จักนายปิยะ ก็เข้าใจว่านายปิยะ รักน.ส.ธัญญ์นิศา จริง แต่ไม่ชอบเรื่องเดียวคือเรื่องหึงไม่เข้าเรื่อง ซึ่งตนมองว่าอาจจะรักแบบเกินขอบเขต และทำเกินกว่าเหตุจริง ๆ
ในช่วงที่มีการปรึกษากัน น.ส.ธัญญ์นิศา ก็เคยพูดกับตนว่า ถ้าหายตัวไปหรือเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งตนก็ไม่คาดคิดว่านายปิยะ จะกล้าลงมือทำแบบนี้ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ประหารได้ประหารเลย