จากกรณีมีคลิปเหตุการณ์ชายหัวร้อนต่อว่าเด็กผู้หญิงมัธยม พร้อมทั้งยังมีการต่อว่า ด่าทอ ข่มขู่ ก่อนที่จะใช้มือตบที่หน้าเด็ก 1 ครั้ง แถมนำอาวุธปืนออกมาคล้ายว่าจะข่มขู่ให้กลัว และทิ้งท้ายว่าตัวผู้ก่อเหตุมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นคนใหญ่โต ให้ระวังตัวไว้หากไม่จบเรื่องนี้
วันที่ 20 มี.ค. 64 ทีมข่าวเดินทางมาที่ สภ.ปากท่อ จ.ราชบุรี พบว่าครอบครัวผู้เสียหายเดินทางมาสอบปากคำกับพนักงานสอบสวน น.ส.แบม (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ม.4 อายุ 16 ปี เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคลิป ช่วงหลังเลิกเรียน ราว 15.40 น. ของวานนี้ โดยตนเองกำลังจะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านพร้อมเพื่อนรวม 3 คน
จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณหลังโรงเรียน ตอนนั้นพ่อของเด็กคู่กรณีขับรถตามหลัง โดยตนไม่ทราบว่าคู่กรณีมาดักรอหรือไม่ เมื่อออกมาจากโรงเรียน พบคู่กรณีขับรถจี้ท้ายตน และบีบแตรใส่หลายครั้ง ก่อนจะลดกระจกลงบอกว่า "มึงหยุด" ตนเองก็จอด คู่กรณีก็ลงมาจากรถ และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามคลิป ก่อนจะแยกย้ายกัน คู่กรณียังข่มขู่ตนเองอีก ตอนนั้นตนเองก็ทำอะไรไม่ถูก ส่วนตัวถูกคู่กรณีตบเข้าที่แก้มขวา 1 ครั้ง ใช้มือเปล่าตบ ส่วนอาวุธปืนมาเห็นตอนที่มีการเหน็บตามในคลิป
ส่วนเหตุการณ์ก่อนที่ตนเองจะมีเรื่อง ช่วง 11.00 น. ช่วงที่ตนเองไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และไปเรียนห้องข้างกับเด็กคู่กรณี อยู่ชั้น ม.2 เป็นนักเรียนหญิง ที่ผ่านมาไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกัน เพียงแต่คู่กรณีเคยมีปัญหากับเพื่อนตนคนหนึ่ง แต่มักจะมองหน้าคล้ายกับจะหาเรื่อง วันเกิดเหตุก็เช่นกันคู่กรณีมีการมองหน้า เบะปาก แต่ไม่ได้มีการลงไม่ลงมือ ตนเองด้วยความโมโหยอมรับว่ามีการหยิบรองเท้าหน้าห้อง ซึ่งเป็นของนักเรียนคนอื่นปาลงที่พื้นแสดงความไม่พอใจ และมีการด่าทอกันด้วยคำพูด ส่วนตนก็ไปขอโทษเจ้าของรองเท้า ที่มีการหยิบรองเท้าคู่กรณีปา จากนั้นก็แยกย้ายกัน ตนเองคาดว่าคู่กรณีทีการไปโกหกพ่อของเขาว่าตนหยิบรองเท้าของคู่กรณีปาใส่ แต่แท้จริงแล้วเป็นรองเท้าของคนอื่น
นายพงษ์ (นามสมมติ) พ่อของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเองทราบเรื่องช่วงใกล้จะ 17.00 น. ของวานนี้ ลูกสาวโทรหาตนแต่ตนไม่ได้รับเพราะทำงาน ลูกสาวจึงส่งคลิปมาให้ตนเองดู ตอนที่ตนเห็นคลิปตนเองตกใจมาก และบอกให้ลูกมาแจ้งความ ตนเองจึงเดินทางตามมา ยอมรับว่าไม่สบายใจที่ลูกตนเองถูกกระทำเช่นนี้ มีเป็นเรื่องของเด็กที่ทะเลาะกัน คนเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ควรจะสอน ไม่ควรกระทำเช่นนี้ ตนเองยอมรับว่าลูกตนเองก็ผิดที่ไปมีเรื่องปารองเท้าใส่คู่กรณี ทำนองเป็นเรื่องเด็กอยากเอาชนะกัน ตนเองเห็นพฤติกรรมคู่กรณีคือมีการคุกคามลูกตนเกินไป แค่ด่าเด็กมันก็กลัวแล้ว ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้
ส่วนตัวไม่เคยรู้จักคู่กรณีมาก่อน ไม่เคยเจอ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เท่าที่ตนเองมีข้อมูลรู้ว่าคู่กรณีเป็นลูกอดีตกำนัน และยังเคยลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน มองว่าเรื่องนี้ลูกตนก็ผิด ลูกคู่กรณีก็ผิด ต่างคนต่างผิด แต่ที่คู่กรณีทำมันรุนแรงเกินไป หากพ่อทำแบบนี้ลูกก็จะเอาแบบอย่าง ลูกก็จะเอาพฤติกรรมแบบนี้ไปทำอีก ส่วนตัวไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แล้วแต่ว่าคู่กรณีจะขอโทษไหม แต่ตนเองต้องการดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทีมข่าวเดินทางกลับมาที่โรงพัก สภ.ปากท่อ ช่วง 17.30 น. นายอ๊อด (นามสมมติ) ผู้ก่อเหตุ เดินทางมาพร้อมนายสมชาย และ ด.ญ.อร (นามสมมติ) นายอ๊อดถือใบทะเบียนปืนมา เปิดใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ขอคุย ส่วนที่สังคมมองว่าเกินไป ตนเองอยากบอกว่าลูกสาวถูกแกล้งทุกวัน อีกทั้งตนเองเหนื่อย ๆ ประกอบกันหลายอย่างจึงลงมือไป ไม่ได้ตั้งใจเอาปืนมาข่มขู่ ก็เห็นอยู่ตามคลิปว่าอะไรคืออะไร
จากนั้น นายอ๊อดเดินไปที่ห้องพนักงานสอบสวน ครอบครัวผู้เสียหายสอบสวนอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่าย เมื่อไปถึงนายอ๊อดยกมือไหว้นายพงษ์ พ่อผู้เสียหาย พูดว่า "พี่สวัสดีครับ" นายพงษ์ตอบกลับว่า "มึงไม่ต้องมาสวัสดีกู มานั่งก่อน มึงมานั่งนี่" ก่อนที่นายพงษ์จะเข้ามาบีบที่ไหล่ขวาของผู้ก่อเหตุ จากนั้นมีการกระชากเข้ามา ตบไปที่หัวด้านซ้ายของนายอ๊อด 1 ครั้ง ก่อนที่พ่อของน้องอ้อยคนถ่ายคลิป จะวิ่งเข้ามาตบไปอีก 1 ครั้ง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับแยกออกจากกัน
หลังจากนั้น ตำรวจได้แยกห้องสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่าย โดยนายอ๊อดมีท่าทีที่สงบ ยืนกุมมือ ฟังเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดเวลา มีญาติของผู้ก่อเหตุได้ออกมาพาตัว นายพงษ์เข้ามาในห้องสอบปากคำ และพูดคุยกัน โดยนายพงษ์มีการคุยกับเด็ก ม.2 บอกว่าอย่าหาเรื่องกัน และจะบอกลูกสาวไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกันอีก นายอ๊อดระบุว่า ตนเองยอมรับผิด ส่วนนายพงษ์ระบุว่า ตนเองอยากให้มีเหตุผล ลูกตนก็ผิด แต่ไม่ควรทำแบบนี้
ตำรวจได้มีการนำอาวุธปืนของนานอ๊อดมาตรวจสอบ มีใบทะเบียนปืนถูกต้อง เป็นปืนลูกโม่ .357 ส่วนข้อหาเจ้าหน้าที่ระบุว่า นายอ๊อดจะถูกแจ้งข้อหา เรื่องการทำร้ายร่างกายผู้อื่น, ข่มขู่ และพาอาวุธปืนไปในพื้นที่เมือง ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร และจะส่งศาลวันจันทร์นี้ ส่วนพ่อของน้องอ้อย ที่มีการเข้าไปทำร้ายผู้ก่อเหตุ ก็จะมีการแจ้งข้อหาเรื่องทำร้ายร่างกายเช่นกัน แต่เป็นเรื่องโทษปรับ