น้ำฝน กุลณัฐ เปิดใจนาทีกำมะนาวปลุกเสก เพราะไม่อยากเลิกพระเอกดัง

22 มี.ค. 64

ชีวิตคนมันสั้นอยากทำอะไรให้รีบทำ น้ำฝน กุลณัฐ ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ได้กล่าวไว้ พร้อมยังได้เปิดเรื่องหัวใจหมดเปลือก ทุกเรื่องราวความรักในชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน แต่อุ่นใจที่จะเล่าที่นี่ ทั้งความรักที่คิดว่าใช่ แต่งแน่คนนี้ แต่อยู่ๆ โดนขอบอกเลิกแบบฟ้าผ่า พอได้เจอความรักกับพระเอกรุ่นน้องที่อายุห่างกัน 6 ปี ก็อึดอัดจนไปไม่รอด ตัดสินใจโบกมือลาผู้ชายไทยหันไปมองผู้ชายต่างชาติ รอจนเกือบท้อ สุดท้ายฟ้าก็ประทานรักแท้มาให้ แต่กว่าจะรักก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

s__70402273

ถาม ความรักครั้งหนึ่ง ขนาดมีปัญหา แต่ก็ยังครบยาวมาเกือบๆ 5 ปี

น้ำฝน กุลณัฐ : เกือบๆ 5 ปีค่ะ จริงๆ มีปัญหากันมาตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่เราคบกันเลย จนถึงวันที่เลิกกันแล้วก็ได้มานั่งคุยกัน เขาพูดกับเราว่าเขาอึดอัด แล้วเขาก็พูดๆออกมา เราก็ อืม... แล้วก็มากำหนดอีก นั่งคิดอีกว่าเราไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า


ถาม แต่เพราะว่าเราเป็นคนในวงการ แล้วก็เป็นอีกคู่ที่ทุกคนเชียร์ ว่าในที่สุดคู่นี้น่าจะเป็นคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกัน คราวนี้พอเลิกกันก็เลยกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่

น้ำฝน กุลณัฐ : เรื่องประเด็นข่าวจะต้องอธิบายให้เข้าใจนิดนึงว่าฝนเลิกกับเขาตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ เพราะว่าเราจะมีงานสุดท้ายด้วยกันคือวันวาเลนไทน์ แต่วันที่เราเลิกกัน เราคุยกันอยู่ดีๆ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า เลิกกันเถอะ มันเหมือนกับเขาทำสิ่งหนึ่ง แล้วเราบอกว่าไหนบอกว่าจะไม่ทำแล้วไง เหมือนเราไปจำได้ในสิ่งที่เขาไปทำแล้ว เขาก็เลิกกันเถอะฝน อันนี้ช็อกของแท้เลย แล้วเขาเป็นคนที่ไม่เคยพูด เราก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอตั้งสตินิดนึง เราก็หาเหตุผล เขาก็บอกเราว่าเขาอึดอัด เขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่มีความสุข แล้วจากวันที่เขาบอกเลิกเรา เขาก็เดินออกจากชีวิตเราไปเลย เลิกเลย หลังจากนั้นสองสามวันเขาก็โทรกลับมาร้องไห้ ร้องไห้เหมือนเด็กเลย แล้วเขาก็บอกเราว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปเนี่ย เขาพลาดมาก เขาพูดว่าฉันรู้ว่าในอนาคตฉันต้องเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ แต่ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเราก็พูด ก็กลับมาสิ มาคุยกัน เขาก็บอกเราว่าฉันอยู่ไม่ได้แล้ว นิสัยเขา เขาเป็นคนที่ทำอะไรตามใจเขา ฝนคิดว่าเขาต้องตามหัวใจเขาว่าเขาอยากได้อะไร ต้องการอะไร เราก็บอกว่ายังเหลืองานอีกงานหนึ่งนะ 14 กุมภาพันธ์ มันก็ต้องไปเจอวันนั้น ซึ่ง 1 อาทิตย์ที่เขาออกจากบ้านไป เราก็เสียใจมาก นอนไม่หลับ ตื่นตีสอง ตื่นตีสาม กินข้าวไม่ได้ ก็ไปหาหมอ หมอเขาก็ถามเราว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่าเดี๋ยวหนูต้องเป็นโรคกระเพาะ เพราะว่าเรากินข้าวไม่ได้ นอนไม่ได้ ต้องเป็นโรคกระเพาะแน่ๆ มันเครียดมาก หมอก็งงๆ แต่ก็ให้ยามา ก็ดูแลตัวเองไป ถามว่าร้องไห้ไหม ร้อง เพราะเราเสียใจมาก แต่ว่ามันก็ค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ อาทิตย์แรกโหดสุด เราปล่อยอารมณ์ของเราไปเลย ไปให้สุด ไม่ต้องไปกั๊ก มันเป็นความคิดของตัวเองว่าเวลาที่เราอกหัก หรือเวลาที่เราเครียด ไม่ควรกินเหล้า แฮงก์ ปวดหัวอีก เสียใจอีก นอนไม่พออีก เราก็พักฟื้นตัวเองไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น เราก็อยู่กับความเศร้าของมันจนเต็มอิ่มแล้ว แล้วพอถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่เราต้องไปร่วมงานด้วยกัน วันที่เขาตัดสินใจเข้ามาพูดกับเราว่า ฉันว่าเราบอกนักข่าวเถอะ เขาพูดประโยคนี้มา เราก็ถามว่าเธอแน่ใจนะ เขาก็บอกว่าแน่ใจ อยากจะเล่าเรื่องหนึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเล่าที่ไหน ด้วยความที่เราอยากได้เขากลับมามาก เราก็ไปหาหมอดู หลังจากเจ็ดวันที่เราร้องไห้ฟูมฟายแล้วนะ อันนี้มันผ่านมา 10 ปีแล้ว เล่าไปเถอะ มันขำดี  (หัวเราะ) เพื่อนก็เรียกหมอดูมา แล้วเราก็บอกว่าทำยังไง อยากได้เขากลับมา หมอก็แบบ ดวงมันคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เขาก็แบบจะเอาคนนี้เหรอๆ หมอเขาก็ไปปลุกเสกมะนาวมาให้ลูก 1 แล้ว เขาก็บอกว่าตอนสัมภาษณ์ก็ให้กำเอาไว้นะ แล้วเราต้องเดินแบบด้วย เราก็คิดว่าจะกำมะนาวยังไง  เพราะว่าเดินแบบเสร็จเราก็ต้องสัมภาษณ์เลย เพื่อนก็รักเรามาก ก็มาส่งมะนาวให้ แล้วพอดีชุดที่เราใส่เป็นกางเกง ตอนยืนสัมภาษณ์อยู่กำมะนาวอยู่ตลอด นักข่าวก็สัมภาษณ์ว่าเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าจะแต่งงานกัน แล้วผู้ชายก็ตอบว่า เราเลิกกันแล้วครับ ตอนนั้นเราบีบมะนาวจนจะเป็นน้ำอยู่แล้ว (หัวเราะ) แบบโมโหมาก มะนาวไม่ช่วยอะไร ตอนนั้นนักข่าวก็งงว่าทำไมเราไม่เศร้าเลย เพราะว่าเรามัวแต่เอาใจไปที่มะนาว เราเลยขำ แล้วพอหลังจากบอกกันเสร็จ ตัวผู้ชายเขาเดินไปร้องไห้อยู่ข้างหลัง แต่เราเดินขึ้นรถไปเหมือนไม่มีอะไร คนก็เลยเข้าใจคิดว่าเราบอกเลิกเขา


น้ำฝน กุลณัฐ : ส่วนความรักอีกครั้งของฝน น้องเขาเป็นเด็กใหม่ เพิ่งเข้ามาในวงการ เราได้สัมภาษณ์แล้วว่าเขาก็ยังไม่เคยมีแฟน เป็นดาราคนไหนที่ดูแล้วจะเกี่ยวข้องกับเรา เราก็เลยแบบลองดู (ถามว่าเขามาจีบไหม) เราไม่ได้เล่นละครด้วยกันนะคะ แต่เจอกันครั้งแรกที่กองถ่าย เพราะว่าเขาเป็นเด็กใหม่ เหมือนมาดูงานแค่นั้นจบ แล้วไปเจอกันอีกทีก็เหมือนเป็นปาร์ตี้บริษัท เพื่อนก็ผลักเรา เราก็ลองดู คบเด็ก อายุห่างกัน 6 ปี

s__70402270

ถาม ใครเริ่มก้าวแรกก่อน

น้ำฝน กุลณัฐ : น่าจะไปพร้อมๆ กัน เราว่าง เราโสด ส่วนเขา .. ฝนก็คิดว่าเขาก็เด็ก เขาก็ไม่ได้คิดอะไร (ถามว่าตอนไหนที่เราคิดว่าเราจะคบคนนี้อย่างเป็นทางการแล้ว) เอาจริงๆ นะคะ คนนี้เราไม่ได้รู้สึกว่า คนนี้แหละ แต่มันเหมือนกับเขาเข้ามาในจังหวะที่ค่อนข้างที่จะเข้ามาต่อเร็ว แบบไม่นาน ไม่ถึงปีอะไรอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกว่ามันจูนกันได้ มันคุยกันได้ มันก็เลยเหมือนตามน้ำไปเรื่อยๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ 6 เดือนแล้ว หนึ่งปีแล้ว


ถาม ด้วยความที่อายุต่างกัน มีผลไหมที่เราเริ่มเข้าไปเหมือนล้ำเส้นบางอย่างของเขา

น้ำฝน กุลณัฐ : เอาจริงๆ นะคะ ตอนนั้นไม่รู้ แต่พอที่เราสองคนคบกันแล้วเขาก็ดังมาก แล้วพอเขาดังมากแล้วบวกกับนิสัยของเขาเป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำ เป็นคนที่ตามใจตัวเอง ด้วยความที่เราอยู่ในวงการมานาน เราก็เหมือนถูกผู้ใหญ่สอนมาเยอะค่ะ มันก็เลยเอาสิ่งที่เรารู้ไปบอกเขาว่าทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า เพราะมันคือความหวังดีเพราะการที่เราจะอยู่ในวงการ เราต้องทำตัวแบบไหน (แต่ตอนนั้นเราคงเขาไปจู้จี้ชีวิตของเขา) แต่ถ้าถามว่าเราเป็นคนจู้จี้ไหม เราเป็นคนชอบจัดการดีกว่าค่ะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดแบบใส่อันนี้สิ อันนั้นสิ คือไม่ได้ขนาดนั้น เราก็แค่แบบต้องตั้งนาฬิกาปลุกนะ เธอต้องไปออกกำลังกายนะ ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ เราก็พาไปซื้อเสื้อผ้า ถึงเวลาสัมภาษณ์จะได้ดูดี ถึงเวลาสัมภาษณ์ต้องพูดแบบนี้นะ เหมือนกับเขายังใหม่มากค่ะ เราก็หวังดีเพราะว่าเขาเป็นพระเอก แต่ในมุมของเขาคือเขาไม่ต้องการ เลยทำให้เราทะเลาะกันบ่อยด้วยอะไรหลายๆ อย่างจุกจิก แต่ไม่ได้ไปทะเลาะในเรื่องที่ให้เขาทำอะไรนะคะ เพราะเราให้เขาทำอะไรเขาก็ทำนะ แต่เราไม่รู้หรอกว่าไปทำให้เขาอึดอัด แต่มันก็เป็นเส้นบางๆ ระหว่างแฟนกับแม่ (เรากลับมาคิดเอง) จะบอกเลยว่าผู้หญิงเราจะมีเส้นบางๆ ระหว่างแฟนกับแม่ อย่าข้ามไป คือเพื่อนคนนี้อีกแล้ว บางทีเราหาคำตอบไม่ได้ เราก็เลยถามเพื่อนว่าเธอเคยห้ามแฟนทำโน้นนี่นั่นไหม เพื่อนก็บอกว่าเราว่าพ่อแม่เขายังไม่ห้ามเลย เราเป็นแฟน เราไปห้ามเขาทำไม พอฟังเสร็จเราก็จริง จะไปห้ามเขาทำไม (แต่เรามารู้ตัวทีหลังนะคะ) ตอนนั้นมันเหมือนกับตอนที่คบกับพระเอก เขาก็แบบปัญหามันเยอะมากแล้ว เป็นปัญหาจุกจิก จนเราไม่ได้มองในมุมกว้าง บวกกับอาจจะความไม่ไว้ใจอะไรหลายๆ อย่าง มันมีองค์ประกอบรวมเยอะ แต่ที่ทะเลาะกันหนักๆ เลย คือเขาไปเที่ยวกับเพื่อนเราโทรไปไม่รับสายเราก็โทรจนตีสามก็ไม่รับ พอไม่รับสาย ผู้หญิงมันจะมีความจินตนาการที่เหนือธรรมชาติอยู่ อะไรจนตีห้ารับสาย คืนนั้นเราไม่ได้นอนเลย เราก็ถามว่าเฮ้ย อะไร คืออะไร เราก็ถามเขา เขาก็บอกว่าเพราะว่ามันเลทเวลารับ เวลาไหนก็ด่าเท่าเดิม (หัวเราะ) พอเขาพูดออกมาแบบนั้น วิธีคิดของเขา แล้วเราก็เป็นสายกำหนดก็จริง อันนี้เลยเป็นประเด็นที่ค่อนข้างหนักหน่วง เพื่อนเขาไม่เข้าใจเรา บางทีเพื่อนเขาเหมือนกับเห็นสิ่งที่เป็นเลยรู้สึกว่าเราไปตีกรอบกักขังเขาไว้เยอะ โดยที่เพื่อนไม่รู้ว่าเรื่องราวเรากับเขามันเกิดอะไรบ้าง


ถาม แล้วในที่สุดก็มาเจอความรักสุดท้ายในชีวิต

น้ำฝน กุลณัฐ : มันเหมือนแบบนอกวงการก็มีแล้ว ในวงการก็มีแล้ว เราก็แบบไม่เอาแล้วดีกว่า ออกนอกประเทศเลยดีกว่าอะไรอย่างนี้ เป็นความตั้งใจของเราเลยว่าจะไม่เอาผู้ชายไทยแล้ว เพราะตอนนั้นเราก็อายุ 34 แล้ว ซึ่งตอนนั้นเพื่อนเราก็บอกว่าต่างชาติเขาไม่ได้เกี่ยงเรื่องอายุ เราก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสที่พอเหมาะที่จะเริ่ม เราก็เอาตัวเราไปในที่ที่ฝรั่งเขาอยู่ บวกกับอีกอันหนึ่งคือเพื่อนฝน มีแฟนเป็นฝรั่ง เขาก็พยายามหาเพื่อนเขามาให้เรา แต่เราก็ไม่ชอบ จนเราโสดมา 1 ปี คิดเลยค่ะ หรือว่ามันต้องโสดแล้ว เพราะตอนนั้นค่อนข้างที่จะคงที่แล้ว โหยหาไปแล้วเราได้อะไรที่ไม่ดีมาเลยไม่เอาดีกว่า ถ้าอยู่คนเดียวได้ก็อยู่คนเดียว

s__70402268

ถาม แล้วในชีวิตของเรา เราเคยคิดว่าจะแต่งงานมีลูกหรือเปล่า

น้ำฝน กุลณัฐ : ไม่คิดเลยค่ะ ไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่ฝัน แต่พอเรามาเจอคนที่ใช่ แล้วเราคบกับจอร์ดอนมา 5 ปี ซึ่งที่มาเจอคนนี้คือเราก็เกือบถอดใจแล้วกับความรัก แล้วอยู่ดีๆ ฟ้าก็ประทานเขาลงมา เขามากับน้องนักแสดงที่เรารู้จัก อยู่ในร้านอาหารนะคะ เขาก็นั่งอีกโต๊ะหนึ่ง แล้วน้องเขาเข้ามาทักเรา แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเขามาเป็นแม่สื่อ เลยเป็นเหตุให้เขามาทักเรา แต่เราเจอเขาตอนแรกคือไม่ชอบเลย เพราะเขาเมามาก แล้วถามเราว่าไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกันไหม เราก็แบบทำไมผู้ชายคนนี้เป็นอย่างนี้ เขาทำงานฮ่องกง  เขาก็ทักมา แล้วเขาก็ชวนเราออกไปข้างนอก ไปกินข้าว แล้วเขาก็ขอโทษที่วันนั้นเขาเมามาก จนท้ายที่สุดเขาก็บอกเราว่าชวนไปกินข้าวนะ ไม่ได้ขอแต่งงาน ทำไมยากขนาดนี้ เราก็จริงเนอะ!! ซึ่งเขาก็บอกว่าออกมาเจอกัน ถ้าไม่ใช่ เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ฝนก็ชอบอะไรแฟร์ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยออกไป พอเจอเขาก็ตกใจ เหมือนคนละคนที่เราเจอวันแรกเลย เพราะดูเป็นนักธุรกิจ มาดภูมิฐานขนาดนั้น ติดกับก็จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ชอบในตัวของจอร์ดอนคือเขาเป็นคนที่ให้ความสนใจ เราก็ไม่ได้เป็นนักเรียนนอกหรือเรียนศิลป์ภาษา พอเวลาเขาพูดมา เราฟังเขารู้เรื่อง แต่เราจะตอบช้า แต่เขาตั้งใจ พยายามเข้าใจจนถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอเราคบกับเขาได้สักพัก เราก็บอกที่บ้านว่าเราคบฝรั่งนะ ที่บ้านก็เหมือนกับหน้าตึงๆ ไปนิดนึง พี่ชายก็บอกให้อย่าไปอะไรกับเขามากนะ เขาโสดจริงไหม ช่วงแรกๆ เราก็ระแวงนิดๆ ซึ่งตอนคบกับเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะแต่งงานหรือมีลูก แต่เคยคุยกับเขาเรื่องลูก แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าเขาไม่เคยจินตนาการว่าเขาไม่มีลูก


น้ำฝน กุลณัฐ : เขา 38 ฝน 34 ร่างกายของฝรั่ง เท่าที่หมอเขาเคยเล่าให้ฟัง คือ 43 หรือ 45 ก็สามารถท้องได้ เขาก็เลยยังชิลอยู่แล้วบวกเขาเป็นผู้ชายด้วย เขาหาแฟนเด็กกว่า 30 ก็ได้ เขาก็เลยคงไม่ได้คิดเรื่องตรงนั้น แต่พอเขาพูดประโยคนี้ขึ้นมา มันเลยทำให้เราแบบยังไงดี ก็ไม่เป็นอะไรคบไปก่อน เขาดูแลเราดีมาก เสมอต้นเสมอปลาย ทุกวันนี้เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น จนเคยมีความคิดขึ้นมาว่าเข้าใจแล้ว เวลาที่ผู้หญิงที่เราอยากจะแต่งงานกับใครสักคน มันเป็นอย่างไร ฉันว่าตัวฉันอยู่กับเขาได้ ก็คือแต่งงานใช่ไหมคะ ซึ่งพอมีโมเมนต์นี้ขึ้นมา มันก็ข้ามไปแล้วว่าเราจะแต่งงานหรือเราจะไม่แต่งงาน พอเสร็จปุ๊บ !! แม่ป่วยเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้แบบเคยทะเลาะกับแม่มาหลายครั้งมากเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่คบกับแฟน 10 ปี แม่ก็อยากให้แต่งงาน จนคบกับแฟนที่มาถึงพระเอก แม่ก็อยากให้แต่งงาน เหตุผลอย่างเดียวเลยที่เขาอยากให้เราแต่งงานคือเขากลัวเราเหงา เราก็บอกว่าเราจะเหงาได้ยังไงเพราะหลานก็เต็มเลย พี่ชายเราก็มี เขาเคยพูดประเด็นฝนกับจอร์ดอนมานานมาก ทำไมไม่พูดกับเขา เราก็แบบทะเลาะกับเขาแรงมาก ทำไมแม่จะต้องพูดเรื่องนี้ด้วย ฝนเบื่อมาก ฝนดูแลตัวเองได้ ดูแลครอบครัว ดูแลแม่ได้ แค่นี้น่าจะพอแล้วใช่ไหม ที่เราไม่ไปพูดกับจอร์ดอนเลยเพราะว่าเราไม่อยากไปทำให้เขาอึดอัด เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง เราก็เลยมีความรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปบังคับ ถ้าในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา แล้วอีกอย่างการแต่งงานมันไม่ใช่ (ร้องไห้) สิ่งสำคัญในชีวิตฝน ที่ฝนคิด เราก็ไม่เข้าใจว่าแม่ทำไมต้องเอาสิ่งนี้มาพูดให้เป็นประเด็นอยู่ได้ วันที่แม่ยังแข็งแรงอยู่ มีครั้งที่เขาบอกให้เราคุยกับจอร์ดอน เราก็บอกเขาไปว่าทำไมไม่ไปคุยกับเขาเอง ไม่บอกเขาเอง เพราะเรารู้ว่าแม่พูดกับจอร์ดอนไม่ได้ (เพราะว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) เราก็บอกให้แม่เลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม แม่อยากจะให้เขาแต่งงาน แม่ก็ไปคุยกับเขาเองแล้วกัน แล้วแม่ก็เขียนจดหมายมา 1 ฉบับ เพื่อให้เราไปหาคนแปลให้เขาหน่อย (แต่เราไม่ได้เอาจดหมายไปแปลนะคะ) จอร์ดอนไม่รู้ แต่ฝนได้อ่านจดหมายที่แม่เขียนนะคะ (แล้วแม่ก็ร้องไห้) ฝนก็แบบถ่ายรูปแม่วันนั้นไว้ด้วย แล้วก็ส่งไปให้เพื่อนดูว่าฉันบาปไหม ทำแม่เสียใจ เพราะตอนนั้นเราไม่อยากไปกดดันจอร์ดอน เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเขาอยากแต่งกับเราหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้ ถ้าเขาขอฝนแต่งได้ แต่พอวันที่แม่ป่วย ถ้าคนเข้าใจ Stroke จะเหมือนว่ามันคืออุบัติเหตุ คือเดินอยู่ดีๆ ปึ๊กเดียว พิการ มันเหมือนคุยกับแม่อยู่วันนี้ ตื่นมาแม่พูดไม่ได้ มันเลวร้ายมาก แม่หายใจไม่ออกตอนแปดโมงเช้า แล้วเป็นช่วงเวลาที่รถติดมาก พอถึงโรงพยาบาลเครื่องมือก็ไม่ได้พร้อม อันนี้ อันนั้นไม่มี วันนั้นรถพยาบาลฉุกเฉินถึง 3 คันกว่าที่เราจะไปถึงโรงพยาบาลที่พร้อมทุกอย่าง แล้วหมอเขาก็แจ้งเราว่าแม่เป็นสมองตีบตรงส่วนกลางนะ ซึ่งมันจะเป็นส่วนที่ควบคุมระบบหายใจทั้งหมด ก็มาลองดู 3 วัน ถ้าแม่หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ ก็คือแม่ไป ตลอด 3 วันนั้น เราก็ไม่ได้นอนเลยนั่งจับมือเขาไว้ตลอด (ร้องไห้) จอร์ดอนดีมากเขาไม่ทิ้งเราเลย เขามาจับมือแม่ แล้วก็บอกให้ฝนไปกินข้าวนะ เดี๋ยวเขาจับมือแม่ไว้เอง ซึ่งเขาพูดไทยไม่ได้ แล้วเขาก็จับมือแม่แบบนั้น จนฝนกลับมา พอเราเห็นแม่อาการดีขึ้น ฝนก็เลยหันไปถามเขาว่าที่เธอเคยพูดว่าเธออยากจะแต่งงานกับฉัน เธอยังอยากแต่งงานอยู่ไหม เขาก็ตอบว่าอยากแต่งสิ ฝนเลยบอกเขาว่างั้นเราแต่งกันเร็วหน่อยได้ไหม ฉันอยากให้แม่ไปงานแต่งงานฉัน ฤกษ์ดีคือ 26 เมษายน แต่วันนั้นโรงแรมไม่ว่าง เราก็เลยจัดพิธีถือเคล็ดที่บ้านไปก่อน โดยมีการทำบุญตักบาตร รดน้ำสังข์ ซึ่งจัดพิธีแต่งจริงๆ คือ 23 พฤษภาคม เพราะว่าโรงแรมว่างวันนั้น


น้ำฝน กุลณัฐ : วันแต่งงานคือ after party ไม่มี เพราะว่าเราต้องอยู่กับแม่ตลอด ทุกคนก็แบบทำไมมันรวดเร็วมาก ตอนนั้นแม่ยังรับรู้อยู่ ฝนมั่นใจ เพราะว่าเขานอนๆ อยู่ ร้องไห้ พูดขึ้นมาว่าเขาอยากตาย แล้ววันที่เราแต่งก็คือวันที่คุณแม่ร้องไห้ ก็ขอให้เขายังจำได้อยู่ ซึ่งเขาก็อยากให้เราแต่งงาน อยากให้เรามีลูก เราก็รีบมีลูกเลย

s__70402272

ถาม วันนี้มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว เราอยากจะบอกอะไรกับคุณแม่บ้าง

น้ำฝน กุลณัฐ : ความจริงน่าจะฟังแม่ตั้งแต่แรกเนอะ จะได้มีลูกเร็วๆ (หัวเราะ) เขาก็ยังได้เล่นกับหลานมากกว่านี้ มันมีเรื่องเศร้าอีกอันหนึ่งตอนนี้ทาเรียโตแล้ว 3 ขวบครึ่งแล้ว บางทีเราก็คุยเล่นกับเขา ถ้าหม่ามี้แก่ ทาเรียจะดูแลหม่ามี้ไหม เขาก็บอกว่าไม่อยากให้เราแก่ (ร้องไห้) ทาเรียกลัวหม่ามี้พูดไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเห็น แล้วเขาไม่อยากให้เราเป็น ฝนเคยเอาวีดีโอแม่ตอนที่แม่พูดได้เขาก็ถามว่าทำไมยายพูดได้ เราก็คิดว่าถ้าเรามีเร็วกว่านี้ แม่ก็ยังได้พูด ได้เล่นกับทาเรีย ซึ่งอาการคุณแม่ตอนนี้ มีความสุขดีนะคะ เราก็ดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ว่าเขาก็ถดถอย ไม่ค่อยรับรู้แล้ว ประสาทตอบรับเขาช้ามาก ฝนถามแม่ว่าแม่จำฝนได้ไหม แม่ก็แค่มอง


ถาม ในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตฝน ฝนจะมีการเรียนรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะอะไรมาถึงตอนนี้ ณ จุดนี้โอเคเข้าใจแล้วต่อไป ฉันจะต้องแก้ไขมันหรือต้องทำให้มันดีกว่านี้

น้ำฝน กุลณัฐ : ฝนบอกรักลูกทุกวันเลย แล้วก็บอกรักสามีทุกวัน ไม่รู้สามีเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน อยากทำอะไรก็ทำ อยากทำอะไรกับคนที่เรารักก็ให้รีบ ทำอันนี้เป็นที่สำคัญ และสิ่งหนึ่งเลย ถ้าเราเข้าใจ ไม่ว่าแบบเป็นแฟนใหม่ แฟนเก่า แฟนอะไรสักอย่าง ฝนว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องเกลียดกันก็ได้ค่ะ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว อีกอันหนึ่งที่ฝน เชื่อเลยคือว่าศีล 5 ช่วยนะ หมายความว่าเราเห็นใครทำอะไรไม่ดีกับเรา แล้วเราก็ไปทำไม่ดีกับเขากลับ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปแล้วเราไม่ได้คิดว่าเราไปแย่กับใคร วันหนึ่งเราก็จะได้สิ่งดีๆ กลับมาเอง

s__70402267

ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป

https://youtu.be/G1mSaeH8SRw
https://youtu.be/ttOeX2rZn1s
https://youtu.be/sZB_OrDhAYU
https://youtu.be/CcxLNC7E4e8
https://youtu.be/qqLSV2EPfYo

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส