สืบเนื่องจากกรณีของนักแสดงสาวชื่อดัง หมิว สิริลภัส กองตระการ ปมถูกตำรวจแอบตามเข้าห้องน้ำ ล่าสุดเผชิญหน้าคู่กรณีแล้ว อีกฝ่ายยืนยันบริสุทธิ์ใจ แค่เบลอเข้าห้องน้ำผิด ไม่ได้ทำตามใบสั่งผู้ใหญ่
- หมิว สิริลภัส เปิดใจทั้งน้ำตา หลังถูกตำรวจแอบตามเข้าห้องน้ำ ถ้าเกิดเหตุร้ายพ่อแม่จะอยู่ยังไง
ล่าสุดวันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 15.10 น.ทาง หมิว สิริลภัส ได้เดินทางมายังสน.พหลโยธิน เพื่อพูดคุยกับทางคู่กรณียศ ส.ต.ท.ดังกล่าวเป็นครั้งแรก โดยทั้งคู่ใช้เวลาพูดคุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนทาง "หมิว" ได้ออกมาให้พูดคุยเบื้องต้นว่า จากที่พูดคุยเบื้องตนทางคู่กรณีได้ชี้แจงและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทางตนเองยังมีเรื่องที่เคลือบแคลงใจอยู่ ขอดูหลักฐานอีกหนึ่งสิ่งก่อนว่าการกระทำของเขานั้นตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ต่อมาเวลา 17.40 น. ทาง "หมิว สิริลภัส" นักแสดงสาว พร้อมคู่กรณี "ส.ต.ท.ศวัสกร หนูรี " ได้เดินทางมาจากสถานีตำรวจ สน.พหลโยธิน พร้อมให้สัมภาษณ์คู่กัน หลังพูดคุยและเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง
โดยทาง "ส.ต.ท.ศวัสกร" ได้ยกมือไหว้พร้อมขอโทษนักแสดงสาวต่อหน้าสื่อมวลชน โดยทางเจ้าตัวเล่าว่า ส่วนตัววันนั้นเพิ่งเสร็จภารกิจหน้าที่ในช่วง 5 ทุ่มกว่าเลยเดินทางกลับจากสโมสรตำรวจ ย่านวิภาวดี และมารับเพื่อนเเถวสน.พหลโยธิน เพื่อมุ่งหน้าไปยัง สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นสน.ต้นสังกัดของตน แต่ด้วยความที่ปวดท้องเลยแวะเข้าปั้มน้ำมันดังกล่าว ประจวบกับอาการเบลอ เนื่องจากทำงานหนักและพักผ่อนน้อย เลยทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีเจตนารมณ์จะเดินตามไปในห้องน้ำ หรือติดตามมาตามคำสั่งของใคร เพราะด้วยตนเองไม่ใช่เป็นคนในพื้นที่นี้เลยอาจจะไม่ชิ้นกับสถานที่ในระเเวงดังกล่าว
ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้อธิบายให้ทางคุณหมิวเข้าใจในช่วงที่เกิดเหตุนั้น ยอมรับว่าส่วนตัวตกใจและเบลอเลยไม่มีสติที่จะขอโทษและเจรจาในวันนั้น ส่วนพฤติกรรมในขณะที่เข้าห้องน้ำที่ทางคุณหมิวบอกว่าหากปวดท้องจริงทำไมกลับไม่ได้ยินเสียงคนทำธุระเลยแม้แต่เสียงปลดตะขอกางเกงก็ยังไม่ได้ยิน ในส่วนนี้ตนต้องบอกว่าตอนนั้นตนเข้าไปแล้วบังเอิญติดแชทคุยกับเพื่อน ในช่วงจังหวะที่กำลังจะทำธุระ แล้วบังเอิญกลับได้ยินเสียงของ "คุณหมิว" ก่อนเลยตกใจและรีบออกไป เลยไม่ได้ทำธุระ ลั่นส่วนตัวไม่ทราบว่าทาง "คุณหมิว" เป็นดารา และยืนยันว่าไร้คำสั่งจากผู้ใหญ่แน่นอน เผยหากผลสอบสวนออกมาว่าตนผิดจริงก็พร้อมน้อมรับคำตัดสินนั้น ไม่ว่าจะเป็นโทษทางวินัยและอาญา
ขณะที่ทาง "หมิว" เองก็บอกว่า ส่วนตัวยังติดใจเรื่องของคำที่อีกฝ่ายระบุว่าเขาปวดท้องหนัก แต่วันนั้นเขากลับไม่ได้มีลักษณะว่าเหมือนคนปวดท้อง แต่กลับเเช่เวลาไว้นานกว่า 2-3 นาที ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่เขาบอกเลยยังคิดใจเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้ปักใจหรือตัดสินเขาใดๆทั้งสิ้น ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ เพราะเชื่อว่าเหตุการณ์สุดวิสัยดังกล่าวเกิดขึ้นได้
ส่วนหลักฐานเพิ่มเติมหลักจากนี้เป็นเรื่องของกล้องวงจรปิดหน้าร้านกาแฟในปั้มน้ำมันที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดที่ตนเอารถไปจอดไว้ เพราะประเด็นนี้หากได้กล้องวงจรปิดมาจะทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาตั้งใจติดตามตนมาหรือบังเอิญปวดท้องจริงๆ เพราะหากตนจอดรถแล้วอีกฝ่ายขับเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมตั้งใจจะมาจอดรถข้างตนก็จะพอสันนิษฐานได้ว่าเขาตั้งใจจะตามมาตั้งแต่แรก แต่หากเขาขับรถมาหลังจากตนแล้วบังเอิญไปจอดรถหน้าบริเวณห้องน้ำเลย อันนั้นก็พอจะเชื่อได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะตามตนและเป็นเหตุการณ์ที่เขาปวดท้องรีบเข้าห้องน้ำจริง
ส่วนสาเหตุความล่าช้าของคดีนั้นคืบหน้าช้าหลังจากที่แจ้งความไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ในส่วนนี้ทางเจ้าหน้าที่เองก็อธิบายว่ามีคดีอื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบค่อนข้างเยอะเลยทำให้ล่าช้า
ส่วนการพูดคุยเจรจาครั้งนี้ ส่วนตัวตีความไปสัก 50 เปอร์เซ็นต์ มองว่าทางเขาเองไม่ได้มีเจตนา เพราะเขาเองไม่ใช่ตำรวจในพื้นที่ ตลอดจนหัวหน้างานของเขาเองก็ได้ติดต่อมาขอโทษตั้งแต่แรก รวมไปถึงหลักฐานที่พบในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นเข้าข่ายอนาจาร เพราะยังไม่มีการยกมือถือขึ้นมาถ่าย หรือชะโงกหน้าเข้ามา แต่พฤติกรรมของน้องเขาเราเห็นแค่เขาโผล่หัวขึ้นมาไม่ได้มีการะชะโงกเข้ามาแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าเรื่องคดีความส่วนตัวทาง "หมิว" มองว่าลักษณะจากการพูดคุยในวันนี้มีความพยายามที่จะช่วยเหลือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ทางเจ้าตัวเผยว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่ากระบวนการทำงานเป็นอย่างไรตนเป็นแค่ประชาชนคนหนึ่ง ที่มีเรื่องแล้วมาร้องทุกข์ ย้ำคำเดิมว่าส่วนตัวยังไม่ได้ระบุว่าอีกฝ่ายผิดหรือไม่ผิด อยากให้ประชาชนที่ติดตามข่าวได้พิจารณาและโฟกัสการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้มากกว่า
ลั่นส่วนตัวก็เห็นใจทางอีกฝ่ายที่ทำงานหนักเกินไปในฐานะตำรวจผู้น้อย ก็ค่อนข้างเห็นใจและเข้าใจ ก็อยากจะฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เราล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน วอนสังคมอย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเขาผิด แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดจากความตั้งใจจริงๆ ก็อยากจะบอกว่ามันสร้างบาดแผลให้ผู้หญิงคนหนึ่งถึงขั้นเกือบคิดสั้น เนื่องจากตนเองก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทำใหอาการกำเริบจนต้องกินยานอนหลับกว่า 10 เม็ด และความคิดที่จะไม่อยากตื่นมา