กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์คลิปวิดีโอกล้องหน้ารถ ขณะที่ขับรถกู้ชีพออกไปรับผู้ป่วย ภายในซอยรามอินทรา 50 ระหว่างทางพบชายคนหนึ่งแต่งตัวเครื่องแบบคล้ายทหาร ขี่รถจักรยานยนต์สีน้ำเงิน ขวางรถกู้ชีพ และมีพฤติกรรมชี้หน้า ซึ่งเหตุเกิดวันที่ 16 เม.ย.64 เวลา 14.00 น. บริเวณถนนรามอินทรา ใกล้เคียงกับกรมทหารราบที่ 11
ล่าสุดวันที่ 20 เม.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่ รพ.จุฬาภรณ์ แจ้งวัฒนะ พูดคุยกับนายสมบัติ ชนะใหญ่ อายุ 27 ปี พนักงานฉุกเฉินการแพทย์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 เม.ย.64 ช่วงเวลา 13.40 น. ตนได้รับแจ้งจากศูนย์เอราวัณว่า มีผู้ป่วยขอความช่วยเหลือ เนื่องจากหายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก โดยผู้ป่วยพักอาศัยอยู่ภายในซอยรามอินทรา 50 แต่บริเวณดังกล่าวไม่ได้เป็นเขตรับผิดชอบของหน่วยงานตน ซึ่งทางกู้ชีพในท้องที่ติดเคส หน่วยงานของตนจึงเดินทางไปช่วยเหลือ ตนได้ค้นหาเส้นทางจากจุดที่ตนรับผิดชอบไปยังบ้านของผู้ป่วย พบว่าระยะทาง 15 กม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที
จากนั้นตนได้ขับรถกู้ชีพ ที่เปิดสัญญาณเสียงไซเรน และขับด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. ไปถึงบริเวณหน้าปากซอยรามอินทรา 25 ตนขับในช่องทางขวา ซึ่งเป็นช่องทางด่วน ด้านหน้ามีรถ 18 ล้อ และรถแท็กซี่ก็หลบทางให้ แต่เมื่อมาเจอชายคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายกับชุดทหาร ขี่รถจักรยานยนต์สีน้ำเงิน ไม่ติดป้ายทะเบียน ไม่หลบทางให้ ตนมั่นใจว่าชายคนดังกล่าวน่าจะได้ยินเสียงไซเรน
ขณะนั้นตนไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าชายคนดังกล่าวน่าจะกลับรถ และเป็นพลเมืองดีช่วยอำนวยทางการจราจรให้ แต่พอขับเลยจุดกลับรถ พบว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้กลับรถ ตนได้เปลี่ยนมาขับในช่องทางซ้าย แต่ทางชายคนดังกล่าวกลับขี่รถด้วยความเร็วที่ช้าลง จากนั้นตนเปลี่ยนจากช่องทางที่ 3 เป็นช่องทางที่ 2 และเปลี่ยนมาขับช่องทางด่วนอีกครั้ง พอถึงช่วงบริเวณข้ามแยกคู้บอน ชายคนดังกล่าวพยายามขี่รถแซงตนไป จังหวะที่ตนอยู่บนสะพาน ชายคนดังกล่าวได้ยกมือขึ้นมาชี้หน้าตน ซึ่งตนก็คิดว่าเจตนาของชายคนนี้ไม่ดีแล้ว
นอกจากนี้ ชายคนดังกล่าวยังพยายามไม่ให้ตนขับรถแซง จนถึงแฟชั่นไอส์แลนด์ ชายคนดังกล่าวได้เปลี่ยนช่องทางขวาไปช่องซ้ายสุด และได้หายไป ส่วนตนถึงจุดกลับรถเพื่อไปรับผู้ป่วยที่บริเวณภายในซอยรามอินทรา 50 ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที จากจุดแฟชั่นไอส์แลนด์ไปถึงบ้านผู้ป่วย ซึ่งชายคนดังกล่าวทำให้ตนเสียเวลาไป 5 นาที และเมื่อไปถึงบ้านของผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยนั้นมีอาการหายใจเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม ต้องการออกซิเจน หากไปช้ากว่านี้อาจทำให้คนไข้คนดังกล่าวหัวใจหยุดเต้น ขณะที่ตนเดินทางไปรับผู้ป่วยนั้น ไม่ได้มีเจตนาไปหาเรื่องกับชายคนดังกล่าวแต่อย่างใด
ภายหลังจากเกิดเหตุ ตนได้ไตร่ตรองพิจารณาหลายรอบว่า จะนำคลิปดังกล่าวเผยแพร่สู่สาธารณะหรือไม่ ซึ่งทางเพื่อนและคนรอบตัวอยากให้ตนเตือนภัย ตนจึงตัดสินใจได้โพสต์คลิปวิดีโอดังกล่าว เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์แก่พี่น้องอาสา หรือทางหน่วยกู้ชีพอื่นว่า หากผู้ที่ใช้รถใช้ถนนเจอรถกู้ชีพ และรถพยาบาล ให้พยายามหลบทาง หรือให้ทาง ซึ่งในการเปิดเสียงไซเรนนั้น พวกตนไม่ได้เปิดเล่น
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ติดใจหรือโกรธชายคนดังกล่าว ตนให้อภัยเสมอ คนเราผิดพลาดกันได้ ส่วนคนในสังคมจะในอภัยหรือไม่ก็แล้วแต่ ซึ่งตนทำงานเป็นอาสากู้ชีพมาได้ 10 ปี ตนก็เคยเจอเคสแบบนี้ จึงเข้าใจว่าเขาอาจคิดว่า ตนนั้นเปิดเสียงไซเรนเล่น ทั้งนี้ตนไม่มั่นใจว่าชายคนดังกล่าวเป็นทหารหรือไม่ แต่หากเป็นทหารจริงตนก็อยากจะให้ตรวจสอบพฤติกรรม และขอฝากถึงชายคนดังกล่าวว่า ต่อไปนี้หากเจอรถกู้ชีพ หรือรถของโรงพยาบาล รบกวนหลบทางให้ด้วย อย่างน้อยก็เป็น Hero On The Road