นายกฯ เผยแผนรับมือโควิด-19 บุคลากรด่านหน้าจะได้ฉีดวัคซีนครบทุกคนในสัปดาห์นี้ รัฐบาลตั้งเป้าจะต้องจัดหาวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564
เมื่อเวลา 21.00 น. วันนี้ (23 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงเรื่องแผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 การจัดหาวัคซีน และความพร้อมการดูแลรักษาผู้ป่วย ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรี เผยว่า การติดเชื้อทั่วโลกยังอยู่ในอัตราที่สูง ซึ่งองค์การอนามัยโลกเตือนว่าจะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกอีกรอบ ส่งผลให้จะเกิดการช่วงชิงทรัพยากรเพื่อใช้ในการรักษาทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยและประชาชนชาวไทยนับเป็นพระมหากรุณาที่คุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย จำนวน 20 คัน รถตรวจวิเคราะห์หาเชื้อเร่งด่วนพิเศษจำนวน 5 คัน และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นอีกจำนวนมาก รวมทั้ง สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสว่างเข้าวัฒน์ วรขัตติยราชนารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือขอบใจและขอเป็นกำลังใจรวมทั้งขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทางด้านทรัพยากรและบุคลากร ให้กับแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนชาวไทยทุกคน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยวันนี้มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2,070 ราย อันเป็นผลมาจากคลัสตอร์ล่าสุดช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ที่ยังคงส่งผลสืบเนื่องต่อมาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์ โดยอัตราการแพทยระบาดในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการแพทยระบาดมีความรุนแรงและเป็นวงกว้างกว่าระรอกที่ผ่านมา หากสามารถร่วมมือร่วมใจกันอีกครั้ง การ์ดไม่ตก และดำเนินการตามมาตรการต่างๆที่ ศบค.แนะนำ ก็จะช่วยลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้งในเร็ววัน รัฐบาลและ ศบค. มีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลาโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และหากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับมาตรการให้เข้มงวดขึ้นจะมีการเร่งพิจารณาและประกาศล่วงหน้าเพื่อให้ได้รับทราบทันที ขณะเดียวกันเพื่อความไม่ประมาทได้สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุข ในด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เร่งรัดกระบวนการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงรวมทั้งพิจารณาการฟื้นฟูเยียวยาในอนาคต
สำหรับความคืบหน้าและสถานการณ์ในเรื่องของวัคซีน ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนที่ได้รับมอบแล้ว จำนวน 2.1 ล้านโดส ที่สามารถฉีดได้ 1.05 ล้านคน ถึงวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 8.4 แสนคน โดยกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นการฉีดให้กับบุคลาการทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงตลอดเวลา ซึ่งบุคลากรทั้งหมดจะได้รับวัคซีนครบถ้วน ภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลและ ศบค.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมาจัดหาแล้ว 64 ล้านโดส ประกอบด้วย AstraZeneca 61 ล้านโดส ที่เริ่มส่งมอบเดือนมิถุนายน 6 ล้านโดส และเดือนต่อๆ ไปอีก เดือนละ 10 ล้านโดส, Sinovac 2.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 2 ล้านโดส และในวันที่ 24 เมษายน จะเข้ามาอีก 500,000 โดส) ล่าสุดเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า รัฐบาลจีนได้แจ้งความประสงค์บริจาควัคซีนให้ไทยอีก 500,000 โดส
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนที่จะต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก 36 ล้านโดส นั้น รัฐบาลก็ประสบความสำเร็จในการเจรจาจัดหาวัคซีนสปุตนิค วี 5-10 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 5-10 ล้านโดส มาเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนแล้ว และเพื่อเป็นการเติมเต็มภาครัฐ และเกิดการทำงานเชิงรุกมากขึ้น ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ซึ่งได้รับรายงานว่าสภาหอการค้าไทย จะช่วยรัฐบาลจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างเองด้วย ประมาณ 10-15 ล้านโดส และในสัปดาห์หน้าจะประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย เพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและแจกจ่ายวัคซีน ทั้งหมดนี้เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมีวัคซีนเพื่อฉีดให้กับประชาชนให้ครบ 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลและ ศบค. ขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้อย่างเต็มที่ องค์การเภสัชกรรมได้มีการสำรอง และกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน มากกว่าสามแสนเม็ด โดยมีการกระจายไปสำรองในพื้นที่ต่างๆ แล้ว และกำลังนำเข้าเพิ่มอีก 2 ล้านเม็ด ในด้านการจัดเตรียมเตียงให้กับผู้ป่วย มีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิดและผู้เสี่ยงติดเชื้อ รวมกว่า 28,000 เตียง ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในขณะนี้มีผู้ป่วยหลักพันต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้จำนวนเตียงลดลงอย่างมาก แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้จัดเตรียมมาตรการเพื่อจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยทุกคนให้ได้
ในส่วนของมาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไว้อีกประมาณ 3.8 แสนล้านบาท โดยมาจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.4 แสนล้านบาท งบกลางปีงบประมาณ 2564 อีก 9.9 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายบรรเทาโควิด-19 อีก 4 หมื่นล้านบาท โดยฝ่ายเศรษฐกิจได้เตรียมโครงการที่จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภค รวมไปถึงโครงการที่จะก่อให้เกิดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอที่จะใช้ในการช่วยเหลือเยียวยา รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเจริญเติบโตให้ได้โดยเร็ว
ผมขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เสียสละ อดทน แม้ว่าตนเองจะเสี่ยงอันตรายและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเททำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ผมขอยกย่องทุกท่านจากใจจริง ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงต้องช่วยกันปกป้องทีมแพทย์ของประเทศไทยด้วยการระมัดระวังตัว ลดความเสี่ยงให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้คือ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ และใส่มาสก์ให้มากที่สุดเมื่อต้องพบเจอผู้อื่น
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่า ผมและรัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อให้เราผ่านวิกฤตในระลอกนี้ไปให้ได้ พวกเราทุกคนจะสู้ไปด้วยกันอีกครั้ง และผมเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของเราทุกคนประเทศไทยจะต้องเอาชนะโรคร้ายในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน