กรณีพบผู้เสียหายในพื้นที่ จ.นครพนม ร่วมทำบุญกับสำนักปฎิบัติธรรม ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม ออกอุบายว่าเป็นพระธรรมิกราชในร่างของภิกษุณี ขอให้ทุกคนช่วยกันทำบุญผ้าป่าเริ่มต้น กองละ 3,555 บาท ได้รับค่าตอบแทนเป็นทองคำ 1 สลึง หรือ 6,000 บาท มีกลุ่มลูกศิษย์หลงเชื่อนำเงินมาถวายจำนวนมาก สุดท้ายไม่ได้ทองคำและเงินสด กระทั่งล่าสุด แม่ชีและผู้เกี่ยวข้องถูกจับ 6 รายแล้วนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ลากไส้แม่ชีแสบฮุบแม่ 5 ล้านซุกเงินซ่อนเซฟ สองสาวพี่น้องช่วยล่อเหยื่อ
- แฉแผนแก๊งชีลวงโลก เกณฑ์เด็กแจกทองหลอกบูชาพระธาตุ สื่อทุบแค่หินตู้ปลา
- พระต้องสำนึกคิดได้หลงผิดกราบชีอรหันต์ลวงโลก ขนาด "แม่" ยังโดน "ชีแอ้" ฮุบที่
- สุดอึ้ง! โลกอีกใบศิษย์ "แม่ชีเอ้" สวมวิกแบ๊วจีบทอม เหยื่อผวาถูกลวงระดมบุญเก๊
- ถอดโหงวเฮ้งก๊วนชีลวงโลก เจ้าสำนักแสบฉลาดแต่โกง ชีแปลงโฉมเด่นวาทศิลป์
ที่ สภ.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มีกลุ่มชาวบ้านประมาณ 20 คน เดินทางมาจากหมู่บ้านโพนแดงน้อย เป็นกลุ่มผู้เสียหาย 180 คน ก่อนหน้านี้ที่เคยเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับภิกษุณีอิสรีย์ และแม่ชีทองพูน ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน แต่ในวันนี้ ได้เดินทางมาแจ้งความเอาผิดเพิ่มเติมกับแม่ชีแหม่ม มือซ้ายของอิสรีย์, แม่ชีปลาย, แม่ชีตอง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการกองบุญผ้าป่า เป็นคนที่เข้ามาบอกบุญ มีส่วนเก็บเงิน รับโอน และหลอกให้ชาวบ้านหลงเชื่อ
นางสาวปิ่น (นามสมมติ) อายุ37ปี ผู้เสียหาย เปิดใจว่า วันนี้ตนเองเดินทางมาพร้อมกับกลุ่มชาวบ้าน ต้องการให้เอาผิดกับ 3 แม่ชี ที่ยังอยู่ภายในสำนักปฏิบัติธรรม เชื่อว่าแม่ชีเหล่านั้นมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับกระบวนการกองทุนผ้าป่า เพราะแม่ชีแหม่ม เป็นคนสนิทมือถือซ้ายของภิกษุณีอิสรีย์ มีแม่ชีปลาย แม่ชีตองหรือเอ เป็นคนบอกบุญและคอยเก็บเงินหรือนำทองมามอบให้ตนเองและชาวบ้าน ซึ่งเป็นสายบุญของแม่ชีทองพูน ที่โดนจับกุมไปก่อนหน้านี้
ส่วนตัวเคยถวายเงินกองผ้าป่าครั้งแรก 12 กอง กองละ 3,555 บาท ได้ทองคำ 12 เส้น นำไปขายได้เงิน 74,400 บาท จากนั้น ตนเองก็ถูกแม่ชีแหม่ม แม่ชีทองพูน ชักชวนให้มีการถวายเพิ่ม เพื่อจะได้บุญเยอะ ๆ ตนเองจึงได้ไประดมเงินจากคนในครอบครัวและเงินเก็บที่มีอยู่ นำไปถวายกองผ้าป่า ถวาย 105 กอง ราคา 373,275 บาท และถ้าครบกำหนดจะได้เงิน 651,000 บาท แต่ก็ไม่คิดว่าการถวายยอดดังกล่าว จะทำให้สูญเงินไปทั้งหมด
กรณีที่ครอบครัวของผู้ก่อเหตุอ้างทำนองว่า คนที่หลงเชื่อแล้วมีการร่วมทำบุญกับกองผ้าป่าเป็นกลุ่มคนที่โลภและโง่นั้น ยอมรับว่า ชาวบ้านทุกคนก็ตกเป็นคนโง่และโลภทั้งนั้น เพราะกลุ่มคนดังกล่าวอาศัยความเชื่อของชาวบ้านที่มีต่อพระพุทธศาสนา เอามาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน หลอกให้คนทำบุญ ทุกคนก็ทำบุญในความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา คิดว่าเงินที่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ต่อยอดการใช้ชีวิตประจำวันได้
ก่อนหน้าที่ชาวบ้านจะถูกหลอก เป็นช่วงที่กลุ่มแม่ชีของสำนักปฎิบัติธรรมลงพื้นที่มาสร้างภาพ เรียกให้นักเรียนและเด็กในหมู่บ้าน อายุตั้งแต่ 2-15 ปี ไปรวมตัวกันที่ลานของหมู่บ้าน 22 คน แล้วบอกว่าพระธรรมิกราชได้ลงมาโปรดมนุษย์ แจกเงินและทุนการศึกษาให้กับเด็ก ลูกของตนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้รับเงินจำนวน 2,000 บาท เด็กทั้งหมดที่เข้าร่วมก็ได้รับเงินเช่นเดียวกัน กลุ่มแม่ชีได้นำเงิน 44,000 บาทมาแจกให้กับเด็ก โดยพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการหวังผลที่เริ่มต้นสร้างภาพว่าสำนักปฎิบัติธรรมแจกทุนการศึกษาเด็ก และต้องการให้ทุกคนได้รับบุญร่วมกัน จึงได้ทำทีแจกเงินจากเด็กและให้เด็กไปบอกบุญกับผู้ใหญ่ แต่คำสอนของกลุ่มแม่ชีก็อ้างถึงเรื่องของการทำบุญด้วยเงินแล้วได้เงินเพิ่ม โชคดีที่ลูกของตนเองไม่เข้าใจถึงหลักการดังกล่าว จึงไม่ได้นำเงินไปร่วมกองทุนแล้วถูกหลอก แต่กลับกลายเป็นตนเองที่ถูกหลอกแทน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาให้ข่าวว่าในบัญชีส่วนกลางมีเงินเหลือเพียงแค่ 8 บาท ส่วนตัวทราบข่าวก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะคิดว่าจะไม่ได้รับเงินคืน ไม่รู้ว่าเงินถูกโอนย้ายไปที่ไหน หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวทราบว่าพบตู้เซฟ 3 ใบ มีเงินจำนวน 40,000 บาท แล้วยังมีโฉนดที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง ตนรอได้รับเงินคืน ก็หวังพึ่งกระบวนการยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะไปติดตามนำเงินคืนกลับมาให้กับประชาชนผู้เสียหาย
นางไข่ (นามสมมติ) อายุ 50 ปี อดีตลูกศิษย์ของสำนักปฎิบัติธรรม ที่ถูกหลอกให้มีการทำบุญกอง ถวายกองผ้าป่า 213,300 บาท จำนวน 60 กอง เปิดเผยว่า ย้อนกลับไปช่วงประมาณ 3 ปีก่อน ตนเองได้เดินทางไปปฎิบัติธรรมที่สถานที่ดังกล่าว ยอมรับว่ามีความเลื่อมใสและชื่นชอบการปฎิบัติ เป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ระยะหลังเห็นว่าอิสรีย์เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากการนุ่งชุดคลุมสีดำ คล้ายกับภาพพระพุทธเจ้าที่อยู่บนฝาผนัง เปลี่ยนมาเป็นชุดคลุมสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นไปตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน จากนั้นก็ไม่ได้มีการสอนให้เดินจงกรม ไม่ได้สอนให้มีการท่องสวดมนต์ตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่ให้ท่องบทสวดเดียวคือ “ไตรสรณคมน์” ซึ่งให้มีการท่องเพียง 9 จบ หลังครบแล้วก็สามารถเดินทางกลับบ้านหรือพักผ่อนได้ ตนจึงเริ่มเกิดความไม่ศรัทธา
อีกทั้งยังพบว่าพฤติกรรมของภิกษุณีอิสรีย์ จะเลือกเอาเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติทำหรือแม่ชีที่มีเงิน แล้วจะออกอุบายชวนคนมีเงิน ให้มาปฏิบัติธรรมถือศีล พร้อมกับพูดว่า "เจ้ามีกรรม ต้องบวชเพื่อล้างกรรม ไม่งั้นจะตาย" แต่ในตอนนั้นระหว่างที่ตนเองเข้าไปปฏิบัติธรรมเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่เป็นที่รู้จักของแม่ชี ไม่มีใครเรียกแม้กระทั่งชื่อของตนเอง แต่หลังจากที่ทุกคนในนั้นทราบว่า ตนเองได้เงินจากการขายมรดกหรือที่ดินที่ได้รับมามากพอสมควร จึงได้ถูกเรียกให้เข้าพบเป็นการส่วนตัว ตนเองกลับกลายเป็นคนสนิททั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตัวตน เพราะตนเองมีเงิน ระยะหลังเมื่อไม่มีเงินให้ก็จะถูกกีดกันออกห่าง หรือใช้คำพูดว่า "เจ้าหมดกรรมแล้ว สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่"
ตอนที่ตนเองขายที่ดินจากมรดกแล้วมีเงินติดตัว ภิกษุณีขอให้ตนเองนำเงินมาถวายเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล ตนเองได้ถวายเงินจำนวน 50,000 บาท หลังจากนั้น ภิกษุณีอิสรีย์ก็จะนำลอตเตอรี่จำนวน 50 ใบเป็นหมายเลขที่คละกันมามอบให้กับลูกศิษย์ที่ถวายเงิน ซึ่งในจำนวน 50 ใบที่ได้รับมา ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ใบ ได้เงินจำนวน 6,000 บาท แต่ภิกษุณีเมื่อทราบว่าตนเองถูกรางวัล ได้ทวงถามถึงส่วนแบ่ง สุดท้ายก็ได้นำเงินส่วนหนึ่งไปถวาย หลายต่อหลายครั้งที่มีลูกศิษย์ถวายเงินก็จะได้รับลอตเตอรี่คล้ายกับที่ตนเองได้รับแบบนี้ เมื่อถูกรางวัลก็ต้องแบ่งหรือถวายให้กับสำนักปฎิบัติธรรมเพื่อเป็นการต่อบุญ
หลังจากที่ตัวเองออกมาจากสำนักดังกล่าวแล้ว คนที่เป็นคนใกล้ชิดมากที่สุดมี 2 คน คือ แม่ชีการ์ตูน มือขวาอิสรีย์, แม่ชีแหม่ม มือซ้ายอิสรีย์ ทั้งคู่จะเป็นมือและแขนให้กับภิกษุณี หรือแม้แต่การจะทำผิดล่าสุดก็มีแบ่งสายบุญออกเป็น 2 สาย การที่ตนเองออกมาให้ข้อมูลวันนี้ก็เพราะต้องการให้เอาผิดกับคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการอิสรีย์
ส่วนกรณีเรื่องของหินที่อยู่ในพานศรีเงินและสีทองที่อ้างว่าเป็นหินพระธาตุจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ตนเองไม่เคยเชื่อในก้อนหินดังกล่าวว่าเป็นองค์พระธาตุ เพราะมันคือก้อนหินที่อยู่ทั่วบริเวณสำนักปฎิบัติธรรม ทุกครั้งที่จะนำหินมาใส่พาน ภิกษุณีอิสรีย์จะเดินไปที่บริเวณลานหิน จากนั้นจะชี้นิ้วไปที่ก้อนหินแล้วบอกว่าเป็นพระธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นก็จะมีพระคนสนิท คือ พระหลวงพี่ต้อง จะเป็นคนโกย ก็เห็นทำเป็นลักษณะเจดีย์เล็ก ๆ พร้อมกับนำผ้าเหลืองไปพันคลุมเอาไว้
เมื่อถึงช่วงกลางดึกก็จะให้ลูกศิษย์ใส่ชุดขาวห่มขาวไปนั่งล้อมวงที่กองหินที่อ้างว่าเป็นพระธาตุ หลับตาสวดมนต์ แล้วในมือของภิกษุณีอิสรีย์ ก็จะถือเลเซอร์ที่เด็กใช้เล่นกันเป็นสีเขียวติดอยู่ในมือ พระหลวงพี่ต้องก็จะถือเลเซอร์สีแดงเอาไว้ในมือเช่นเดียวกัน เมื่อกลุ่มลูกศิษย์เริ่มมีการสวดมนต์ ทั้งคู่ก็จะยิงเลเซอร์เข้าไปที่กองหิน คล้ายกับเป็นแสงขององค์พระธาตุที่ส่งลงมา ทำให้หินเรืองแสงและมีสี ลูกศิษย์ต่างกราบไหว้แล้วนำไปใส่ในพาน เพื่อนำกลับไปตั้งวางหรือบูชา ซึ่งมันก็คือหินธรรมดา ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการฉาบและสร้างบ้านของตัวเองไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำมากราบไหว้บูชาให้เสียเวลา เพราะคือหินที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง
หลังจากที่แม่ชีทองพูนได้รับการประกันตัว และออกมาจากเรือนจำพิเศษนครพนมแล้ว เจ้าตัวได้มีการแชตข้อความไปพูดคุยกับผู้เสียหายคือ นางไข่ (นามสมมติ) อายุ 50 ปี โดยข้อความระบุว่า "ไม่รู้ว่าใครจิตใจไม่ปกติกันแน่ ที่ทำให้ข่อยเข้าไปอยู่ในคุก, คงสมใจแม่XXXและชาวบ้านแล้วสินะ เงินก็ไม่ได้ ทองก็ไม่ออก ทำให้ข่อยเข้าไปอยู่ในคุก ทั้งพระอาจารย์ การ์ตูน กาเต้ ทุกคนเข้าไปอยู่ในห้องกรงกันหมดแล้ว แม่XXXกับชาว บ้านคงสบายใจกันแล้วนะ สาธุทุกคน"