จากกรณีศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องจำเลยในคดีที่นายธนิต ทัฬหสุนทร หรือ เต้ ถูกคนร้ายแทงเสียชีวิตที่ซอยประชาสงเคราะห์ 1 กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้นายศุภชัย ทัฬหสุนทร ผู้เป็นพ่อเกิดความเครียดและผิดหวัง จนตัดสินใจกระโดดจากชั้น 8 ของศาลอาญา ตกลงมาร่างกระแทกพื้นเสียชีวิต เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 61 ที่ผ่านมานั้น
วันที่ 29 ก.ค. 61 ที่วัดกุนนทีรุทธาราม (วัดห้วยขวาง) เขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ นายศุภชัย ทัฬหสุนทร ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กระโดดจากชั้น 8 ของศาลอาญา บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า โดยในเวลา 16.00 น. มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพ นางเรวดี ทัฬหสุนทร ภรรยาของนายศุภชัย ได้ร้องไห้เสียใจอยู่ตลอดเวลา โดยมีบรรดาญาติๆ ได้ปลอบและให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
ด้าน
นายเคน (นามสมมติ) เพื่อนคนสนิทของนายเต้ บอกว่า หลังจากนี้ทางกลุ่มเพื่อนเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีมอบให้กับตำรวจ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะนำไปสานต่อเป็นประโยชน์ต่อคดีได้ อีกทั้งเตรียมจะยื่นให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง และหากเป็นไปได้หลังจากพูดคุยกับทางผู้ใหญ่ ก็จะยื่นให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากคดีนี้ไม่ควรเงียบ และคดีนี้ก็ไม่มีความยากซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะเป็นคดีในเมือง มีพยาน มีคนเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก อีกทั้งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ตั้งแต่วันแรกที่ก่อเหตุ
ทั้งนี้ ส่วนตัวยังเชื่อมันในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อว่าพ่อของเต้ ก็เชื่อในความยุติธรรม แม้ว่าจะผิดหวังในตอนสุดท้ายก็ตาม เพราะสิ่งที่พ่อเต้ทำลงไป คือ ความเสียใจที่ตนเองยอมแลกกับการออกจากงานเพื่อมาต่อสู้คดี ยอมไปนั่งดูคดีเก่าๆที่คล้ายกันถึง 6 คดี จนนาทีสุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง
ด้าน
นางธนพร ศิริบานเย็น ทนายความ ฝ่ายโจทก์ของ
นายธนิต ทัฬหสุนทร หรือ เต้ บอกว่า หลังจากนี้ฝ่ายของเต้ เตรียมจะใช้สิทธิ์ตามกฏหมาย ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งสอบเพิ่มพยาน ยอมรับว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ค่อยจะได้ใช้ แต่ครั้งนี้เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานออกตัว จะทำให้คดีมีความคืบหน้า ดังนั้นจึงมีความจำเป็น โดยจะมีการตรวจสอบอีกครั้งถึงคลิปวิดีโอ พยานแวดล้อมสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้คือจะเป็นพยานสำคัญในคดี เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 3 คน เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้อง และยังไม่เคยมีการเบิกความมาก่อน ส่วนบุคคลที่ 3 ที่อ้างตัวว่าเป็นกลางนั้น ส่วนตัวยังไม่ทราบแต่ขอให้เป็นกระบวนการของตำรวจในการเรียกสอบหรือกันให้เป็นพยาน และจะมีความคืบหน้าเมื่อไหร่อย่างไรนั้น ตอนนี้ขอให้เป็นการหารือเพิ่มเติมของทางตำรวจ
และกรณีที่กระแสสังคมกำลังแสดงความเป็นห่วง ต่อการทำคดีในฐานะที่ทนายความเป็นผู้หญิงนั้น
นางธนพร บอกว่า ความเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่บอกว่าทำไม่ได้ แต่ส่วนตัวกลับบอกว่า เป็นผู้หญิงจะมีความละเอียดอ่อน เข้าถึงพยานหลักฐานที่ดีกว่า ประกอบกับตนเองได้รับความไว้ใจจากนายศุภชัย และภรรยาของผู้ตาย เพราะทราบคดีตั้งแต่ต้น รู้ถึงตัวบุคคลทั้งหมด มีหลักฐานที่จะนำไปต่อสู้ทางคดีได้ แต่ส่วนตัวก็ยังเสียใจที่หลักฐานยังไม่เพียงพอ จนศาลต้องยกฟ้องและนายศุภชัยต้องเสียชีวิต ซึ่งภรรยาของนายศุภชัยก็บอกว่าถ้าครั้งนี้แพ้คดีอีก ตัวเองก็อาจจะต้องจบชีวิตลงเหมือนกัน ซึ่งตนก็ไม่อยากให้เกินเหตุการณ์อย่างนั้น และหลังจากนี้หากกระแสสังคมรวมถึงทนายความดังหลายคน เสนอตัวอยากเข้ามาร่วมทำคดีนี้ ตนก็ไม่ขัดข้อง พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาร่วมกันทำให้คดี ให้มีความกระจ่างต่อสังคม
ขณะที่
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวว่า ในกรณีนี้ยังมีนายตงซึ่งเป็นพยาน ซึ่งไม่รู้จิตฟั่นเฟือนขนาดไหน บางทีอาจจะเป็นเทคนิคก็ได้ ซึ่งตอนนี้เห็นว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ไปสืบเรื่องนายตงและสืบแพทย์ด้วย หากนายตงไม่ได้ป่วยทางจิตจริง ศาลอุทธรณ์อาจมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นนำสืบพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ ซึ่งกรณีที่นายตงไม่มาให้การและมีการอ้างเป็นคนวิกลจริต อาจเป็นไปได้ว่าเพราะไม่ต้องการเป็นพยานและอาจจะกลัว ทั้งนี้ เขาเป็นคนในพื้นที่รู้จักกันด้วย จึงมีเหตุผลร้อยแปดที่จะมาอ้างได้ ซึ่งใบรับรองแพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่าวิกลจริตจริง
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ปิดประตูตายให้กับผู้เสียหายเพราะสามารถเรียกพยานมาสืบได้ ก็ลุ้นภาวนาให้นายตงไม่ถึงกับจิตฟั่นเฟือน ซึ่งตนได้คุยและแนะนำกับภรรยาของผู้เสียชีวิตแล้ว และตนได้บอกบอกแล้วว่าอยากให้ช่วยเหลืออะไรก็ให้บอก ยอมรับว่าเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือคดีเพราะตนยินดีช่วยและให้คำแนะนำ