จากกรณีที่ น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือ น้องหญิง อายุ 19 ปี ไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ที่ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา และเสียชีวิตเนื่องจากกะโหลกศีรษะแตก สมองบวม โดยผู้ชายที่ขับรถเทรลเลอร์มาส่งน้องหญิง อ้างว่าผู้เสียชีวิตได้กระโดดลงจากรถไปเอง แต่ผลชันสูตรเบื้องต้นจากแพทย์ระบุว่า ถูกตีด้วยของแข็งไม่มีคมที่ท้ายทอย ญาติติดใจการเสียชีวิต และต่อมานายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาระบุว่าในคดีนี้ตำรวจรับสินบน 3 แสนบาทจากผู้ต้องหา เพื่อปิดคดีฆาตกรรมให้กลายเป็นคดีอุบัติเหตุ
วันที่ 3 ก.ค.61 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และครอบครัวผู้เสียชีวิต เคลื่อนโลงศพน้องหญิง มาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้สอบวินัยร้ายแรงกับ ผกก.สภ.บางปะอิน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และให้โอนคดีให้กองปราบฯ ทำแทน เพราะน.ส.รุ้ง พยานในคดียังถูกข่มขู่ มีคนมายิงปืนขึ้นฟ้าที่หน้าบ้าน (อ่าน:
ญาติแห่โลงศพ “น้องหญิง” ร้องโอนคดีกองปราบ – “อัจฉริยะ” อ้างพยานถูกขู่)
ด้าน
นางสุมารี ดาราคำ ป้าของนายอ๊อฟ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุนั้น ในส่วนของการประสานงานหรือติดต่อกับเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีจะมีตนและพ่อของอ๊อฟ เท่านั้นที่ได้รับรู้ข่าวที่ถูกกล่าวหาว่า นำเงิน 3 แสนบาทไปให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนขอยืนยันเลยว่าตั้งแต่ดำเนินคดีมา “ไม่มีใครในครอบครัวสักคนที่นำเงินไปให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีเลยสักบาทเดียว!” และยังยืนยันอีกด้วยว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังของคดีหลานชาย ไม่มีคนสนับสนุนเงินดำเนินคดี ไม่มีการไปกู้ยืนหรือขอเงินใครมาสู้คดีทั้งนั้น
สถานะของครอบครัวของอ๊อฟนั้น พ่อกับแม่แยกทางกันมานาน ส่วนญาติที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็มีเพียงตนและป้าอีกคนเท่านั้น ทุกวันนี้แต่ละคนก็ทำมาหากินเลี้ยงปากท้องของตัวเอง บ้างก็หาเช้ากินค่ำ ส่วนตนนั้นก็ขายส้มตำ ไก่ทอด ข้างแกงอาหารถุง บางวันก็ขายได้บ้างวันละ 400-500 บาท และบางวันก็ขายไม่ได้ถึงขั้นขาดทุน ซึ่งเดือนหนึ่งเฉลี่ยรายได้เพียง 6,000-7,000 บาท ส่วนภรรยาอ๊อฟ ทำงานอยู่ฝ่ายคัดแยกสินค้า ของคลังขนส่งสินค้าบริษัทขนส่งสินค้าเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก สำหรับรายได้ของภรรยาอ๊อฟในแต่ละเดือนประมาณ 8,000-9,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่จะต้องรับผิดชอบค่าเรียนลูกชาย ค่าที่พักอาศัย ค่ากินทั้งของตัวเองและลูก รายได้พอใช้ไปแต่ละวันเท่านั้น จึงไม่มีเงินเก็บสำรองใดๆ สภาพความเป็นอยู่ไม่ได้สุขสบาย ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดที่จะสามารถ ล้มคดีได้
นอกจากนี้ นางสุมารีเปิดเผยบัญชีเงินฝากส่วนตัว เพื่อยืนยันว่าตนไม่มีเงินเข้าออกบัญชีจำนวนมากพอที่จะใช้ล้มคดี โดยในบัญชีมียอดเงินที่อัปเดตล่าสุดเพียง 500 บาทเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตรวจสอบเงินในบัญชี ก็สามารถตรวจสอบ Statement ย้อนหลังของตนได้ ส่วนบัญชีของคนในครอบครัวรายอื่นๆ ต้องอยู่ที่เจ้าของบัญชีจะยินยอมหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรครอบครัวก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจสอบข้อมูลทางการเงินได้ เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ไม่มีการจ่ายเงิน 3 แสนอย่างที่เป็นข่าวแน่นอน
ส่วนการยืนขอประกันตัวนั้น ตนและพ่อของอ๊อฟเคยไปติดต่อขอประกันตัวที่ศาล ซึ่งจะต้องติดต่อหาทนายมาสู้คดี แต่เนื่องจากทางครอบครัวไม่มีเงินพอที่จะว่าจ้างทนายมาสู้คดีเพื่อขอประกันตัวได้ จึงทำให้ไม่สามารถประกันอ๊อฟออกมาได้ และยังบอกอีกว่าในตอนนี้ตนไม่ต้องการทนายความแล้ว ให้อ๊อฟอยู่ในเรือนจำต่อไป ตั้งแต่วันที่อ๊อฟถูกนำตัวไปกักขังที่ เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นตนและครอบครัวยังไม่มีใครเข้าไปเจอหน้าอ๊อฟหรือเยี่ยมอ๊อฟอีกเลย และยังไม่มีกำหนดว่าจะไปเยี่ยมอ๊อฟเมื่อไหร่ จนกว่าจะมีความพร้อมทางด้านการเงิน เพราะจะต้องหาเงินเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้และเงินสด ไปฝากให้อ๊อฟใช้จ่ายในเรือนจำด้วย