ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ลำทับ จ.กระบี่ บันทึกภาพขณะ นายสุขาติ ขาวล้วน อายุ 54 ปี ขับรถยนต์ เก๋งสีขาว ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กน 6552 กระบี่ เข้ามาจอดที่หน้าอู่ เพื่อมารับเพื่อนไปทำธุระด้วยกัน แต่เพื่อนไม่อยู่ที่อู่ จากนั้นนายสุชาติได้หายตัวไปอย่างปริศนา ติดต่อไม่ได้นานร่วม 1 สัปดาห์ ลูกสาวและญาติแจ้งความแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สุดถ่อย แก๊งอุ้มสุชาติโทรขู่เมีย-สื่อ จะดักยิงสั่งหยุดหาร่าง ชี้เป้าศพเผาในสวนปาล์ม
- หนุ่มบุกทวง 3 แสนหายตัวปริศนา แชตลึกลับโผล่อ้างถูกฆ่าฝังดิน เจอพิรุธลูกหนี้เผ่น
วันที่ 12 พ.ค. 64 นางน้ำค้าง อายุ 42 ปี ภรรยาของนายสุชาติ เผยว่า ตอนนี้ตนสภาพจิตใจแย่ เครียดมาก เนื่องจากระยะเวลาก็ผ่านมาหลายวัน แต่ก็ยังไม่มีใครพบตัวสามีตนที่หายไป อีกทั้งแม่ของตนแท้ ๆ ก็เพิ่งเสียไปเดือนกว่า แล้วนี่จะต้องมาเสียแฟนไปอีก ซึ่งตนเป็นคน จ.อุบลราชธานี เป็นคนนอกพื้นที่ที่อยู่ตรงนี้ก็มีแต่สามีคนเดียวที่เป็นเหมือนคู่คิด ตอนนี้ตนมีความคาดหวังที่อยากจะเจอตัวสามีให้ได้โดยเร็ว หากจะมีโอกาสได้พูดกับบุคคลที่ก่อเหตุหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของสามี ตนก็อยากจะขอกราบขอร้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสามีของตน ก็อยากจะให้นำร่างของสามีตนมาคืน
ตอนนี้ตนยังมั่นใจว่าสามีของตนยังคงมีชีวิตอยู่ หากตราบใดที่ยังไม่เห็นศพของสามีตนเสียชีวิตแล้วจริง ๆ ส่วนกรณีที่มีบุคคลปริศนา ทักหรือโทรศัพท์มาข่มขู่คนในครอบครัวนั้น ตนยืนยันว่าไม่กลัว เพราะตนต้องพยามตามหาสามีให้ได้ "ตนมีความคิดว่าหากคนจะถึงเวลาตาย ยังไงมันก็ต้องตาย"
โดยตอนนี้ตนก็ให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว แต่ก็ยังคงต้องรอความคืบหน้า ส่วนตัวตอนนี้ตนก็ยังมั่นใจว่าผู้ที่มีส่วนรู้เห็นกับการหายไปของสามีตนน่าจะเป็นชายต้องสงสัยรายหนึ่ง เพราะหลังจากเกิดเรื่องเจ้าตัวก็หายหน้าไป ไม่สามารถติดต่อได้ หากไม่เกี่ยวข้องเจ้าตัวก็คงต้องออกมายอมรับหรือให้ข้อมูลบ้าง
นายสาธิต ข้องจิตร์ อายุ 57 ปี เพื่อนสนิทนายสุชาติ เผยว่า ตนรู้จักกับนายสุชาติมานานเกือบ 20 ปี เพราะมีโอกาสได้ช่วยเรื่องคดีความของนายสุชาติที่เคยติดคุกคดียาเสพติดเมื่อหลาย 10 ปีก่อน จึงมีความสนิทสนมกันเสมือนญาติพี่น้อง ความสัมพันธ์ของนายสุชาติและบังฟิตก็มีความสนิทสนมระดับหนึ่ง เพราะทั้งคู่ก็ได้รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเรือนจำเดียวกัน แต่ช่วงหลังก่อนที่นายสุชาติจะหายตัวไป ทั้งคู่ได้มีปัญหาระหองระแหงกัน เรื่องที่บังฟิตขอร้องให้นายสุชาติกู้ยืมเงินจากธนาคารมาให้เพื่อนำไปลงทุนประกอบธุรกิจ ส่วนนี้นายสุชาติเคยเล่าให้ตนฟังว่ากู้เงินมาได้จำนวน 3 แสนบาท และแบ่งให้บังฟิตยืมไปจำนวน 150,000 บาท หากบังฟิตสามารถกู้ธนาคารด้วยตนเองได้สำเร็จจะนำเงินที่ยืมมาคืนให้ แต่ปรากฏว่าหลังบังฟิตสามารถกู้เงินออกมาจากธนาคารได้จำนวนกว่า 200,000 บาท กลับไม่ยอมคืนเงินให้นายสุชาติ
นายสุชาติ จึงได้เที่ยววนเวียนไปทวงเงินดังกล่าวที่บ้านของเจ้าตัว รวมเป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือนก่อนเกิดเหตุ แต่ไปกี่ครั้งก็ไม่เจอตัว กระทั่งก่อนวันที่นายสุชาติจะหายตัวไป 3 พ.ค. ประมาณ 1 สัปดาห์ทั้งคู่ได้โทรศัพท์มีปากเสียงกัน บังฟิตอ้างว่าไม่มีเงิน แต่เจ้าตัวจะเดินทางไปที่ อ.ทุ่งสง เพื่อไปเอาของบางอย่าง เมื่อนายสุชาติทราบเรื่องจึงโทรศัพท์ไปต่อว่าบังฟิตว่า "มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้ ว่ามึงไปไหนมา มึงไปเอาอะไรมา แต่ทำไมเงินที่ติดกูมึงไม่ให้"
จากนั้นวันต่อมา นายสุชาติจึงเดินทางไปหาบังฟิตที่บ้านแต่บังฟิตไม่อยู่ เจอแต่พ่อของบังฟิต นายสุชาติที่เกิดความโมโหก็ไปต่อว่าพ่อของบังฟิตว่าบังฟิตยืมเงินไปไม่ยอมคืน "รู้นะว่าไปทำอะไร เดี๋ยวจะเอาตำรวจมาจับ" กระทั่งวันที่ 3 พ.ค. ตั้งแต่ช่วง 12.00 น. ตนก็ไม่สามารถติดต่อกับนายสุชาติได้อีก ซึ่งผิดปกติ เนื่องจากหากเวลาตนทักหานายสุชาติจะตอบกลับตลอด ตนจึงโทรศัพท์ไปหานายสุชาติอีกเบอร์หนึ่ง มีคนรับสายแต่ไม่ใช่เสียงนายสุชาติ เป็นเสียงชายปริศนา บอกแค่ว่าคนที่รับสายอยู่ จ.กระบี่ ก่อนตัดสายไป
อีกทั้งตนมีหลักฐานยืนยัน จากบุคคลในพื้นที่ที่รู้จักกันส่งข้อมูลเป็นคลิปเสียงมาให้ตนฟัง หลังจากที่นายสุชาติหายตัวไป ตนจึงมั่นใจว่ามีคนที่ตนสงสัยเกี่ยวข้องแน่ เพราะภายในคลิป เสียงเขาพูดกับคนที่รู้จักกับตนว่านายสุชาติได้เดินทางเข้ามาหาบังฟิตจริง ช่วง 10.00 น. ของวันที่ 3 พ.ค. 64 และยังพูดอีกว่า ในขณะที่นายสุชาติไปทวงเงินนั้น บังฟิตไม่มีเงินที่จะคืน เลยให้ยาเสพติดกับนายสุชาติมาแทน จำนวน 8 มัด (1 มัดมี 2,000 เม็ด) หลังจากนั้นนายสุชาติก็หายไป
ทีมข่าวเดินทางไปสำรวจบริเวณพื้นที่บ้านของบังฟิต ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ถูกปิดล็อกและไม่เปิดขายของชำเหมือนตามปกติ โดยมีแผ่นป้ายประกาศติดอยู่ที่บริเวณทางเข้าหน้าร้านว่า "ร้านปิดทำการตั้งแต่วันที่ 12-14 พ.ค.64" จากการสังเกตพบว่าบริเวณรอบบ้านของบังฟิตเป็นสวนยางพาราและสวนปาล์ม ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดบริเวณด้านหน้าบ้าน ห่างจากสวนปาล์มประมาณ 10 เมตร ไม่มีร่องรอยการไหม้หรือเบาะแสใด ๆ
ซึ่งพื้นที่ส่วนปาล์มยางพารา ที่อยู่ด้านหน้าบ้านมีพื้นที่ประมาณกว่า 10 ไร่ ส่วนพื้นที่ด้านหลังประมาณกว่า 10 ไร่ สอบถามว่าสวนปาล์มมีใครเป็นเจ้าของนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีใครให้ความรวมมือให้ข้อมูล