จากกรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "เจ๊มอย v plus" แชร์เรื่องราวของชายคนหนึ่ง ขับรถเข้ามาในซอยที่เป็นวันเวย์ แต่ปรากฏว่ามีปากเสียงกับรถคันที่เข้ามาแบบถูกต้อง จากนั้นผู้ก่อเหตุใช้ไม้เบสบอลทุบตีผู้บาดเจ็บล้มลงกับพื้น แล้วเข้ามาตีซ้ำอีกครั้ง จนกลายเป็นกระแสวิพากวิจารณ์ในสื่อสังคมโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากนั้น
วันที่ 25 พ.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก จุดเกิดเหตุอยู่ในซอยศรีสุข เทศบาลเมืองแม่สอด ลักษณะถนนเป็นแบบวันเวย์
นายวีระชัย (สงวนนามสกุล) ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 พ.ค.64 เวลาประมาณ 16.00 น. ตนเห็นรถของผู้ก่อเหตุขับสวนเลนเข้าไป ในขณะที่รถของผู้บาดเจ็บขับเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่เหมือนกับว่าผู้ก่อเหตุจะเลี้ยวเข้าซอยแต่เลี้ยวไม่พ้น ต้องถอยอีก 1 จังหวะ ถึงจะสามารถเลี้ยวเข้าซอยเล็กได้
ซึ่งรถของผู้บาดเจ็บ ดันถอยหลังกลับไป ทำให้รถของผู้ก่อเหตุไม่สามารถถอยได้ จึงมีปากเสียงกันในลักษณะท้าทายกัน แล้วก็ดึงกันมาฟัดเหวี่ยงที่หน้าร้านของตน พอตนออกไปยืนดูเห็นว่าผู้ก่อเหตุใช้ไม้เบสบอลตีเข้าที่ผู้บาดเจ็บหลายครั้ง ตนไม่รู้จักทั้งสองคน แต่คาดว่าน่าจะเป็นคนในพื่นที่ ส่วนที่ตนกล้าเข้าไปช่วย เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีอาวุธเป็นไม้เบสบอลติดมือ ตนกลัวจะได้รับลูกหลง เพราะผู้ก่อเหตุค่อนข้างร่างใหญ่
ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องการใช้ถนน เนื่องจากถ้าเป็นคนในพื้นที่จะทราบว่าเป็นถนนวันเวย์ ส่วนตัวมองว่าในเรื่องของจราจร คนเข้าขับสวนเลนมาก็มีความผิดอยู่แล้ว และการใช้ความรุนแรงก็ไม่ถูกต้อง ตนมองว่าถ้าผู้บาดเจ็บเลือกที่จะขับผ่านไปเลย ไม่ถอยรถกลับไป ก็คาดว่าปัญหาไม่น่าจะเกิด แต่แบบนี้เหมือนต่างตนต่างผิดกันทั้งคู่ในสายตาของตน
นางสาวแก้ว (นามสมมติ) พี่สาวผู้บาดเจ็บ เล่าว่า วันเกิดเหตุตนเดินทางกลับบ้านมา พบว่าน้องชายมีอาการผิดปกติ บริเวณช่วงกกหูซ้าย บวมช้ำม่วง ตนจึงมีการสอบถามถึงที่มาของสาเหตุ ซึ่งน้องชายบอกกับตนว่าตกนั่งร้านจากการรับเหมาก่อสร้างมา ตนเป็นพยาบาล มองจากสายตาไม่อาจเชื่อได้ว่าจะตกนั่งร้านจริง เพราะที่แขนก็มีรอยช้ำด้วย จากนั้นไม่นาน นายปราการก็มีอาการเวียนศีรษะอาเจียน ตนจึงประเมินสถานการณ์เบื้องต้นว่าต้องมีผลกระทบจากที่ศีรษะ จึงพาตัวนายปราการไปแอดมิตที่โรงพยาบาล แพทย์นำเข้าเครื่องสแกนสมอง พบว่าบริเวณสมองด้านซ้ายมีเลือดคั่งในสมอง ช้ำที่แก้วหู ไม่ถึงกับต้องเข้าผ่าตัดสมอง แต่ต้องให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิด
อาการบาดเจ็บในขณะนี้ ค่อนข้างดีขึ้น แค่ยังคงมีอาการเวียนหัว และอาเจียนอยู่บ้าง หูซ้ายค่อนข้างอื้อ ยังฟังไม่ได้ชัด แพทย์ยังคงให้พักพื้นประมาณ 1-2 เดือน ทำให้สภาพจิตใจค่อนข้างแย่ เพราะปัจจุบันทำงานรับเหมาก่อสร้าง เป็นเสาหลักของครอบครัว มีลูกมีภรรยาที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งนายปราการแอบร้องไห้อยู่หลายครั้ง ส่วนสาเหตุนายปราการเล่าให้ฟังว่า กำลังขับรถในซอยปกติ มีรถสวนเลนเข้ามาแล้วกระพริบไฟหน้ารถเหมือนกับว่าขอทาง ก็เอะใจว่าเขามาผิดเลนแล้วจะมากระพริบไฟใส่ทำไม
ขณะนั้น คนขับลงมาจากรถ ถึงทราบว่าคือนายมามุดฮ์คาน ผู้ก่อเหตุ ซึ่งพูดจาไม่ดี บอกให้ถอยรถถามว่า "รู้ไหมกูลูกใคร" ทำให้รู้สึกไม่พอใจ เพราะเข้ามาผิดเลนทำไมถึงมาพูดแบบนี้ ซึ่งตนและน้องชายยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะพฤติการณ์ในลักษณะนี้เหมือนกับพยายามฆ่า ตอนนี้ก็ยังกังวลใจเป็นห่วงในเรื่องของความปลอดภัยของคนในครอบครัว เพราะก่อนหน้านี้ฝ่ายผู้ก่อเหตุพยายามติดต่อเข้ามา แต่ตนขอไม่ไกล่เกลี่ย ขอดำเนินคดีสูงสุด
พี่ชายของผู้ก่อเหตุ บอกว่า ตนยอมรับว่าน้องชายผิด ในเรื่องของการขับขี่รถยนต์ เพราะถนนที่นั่นเป็นแบบวันเวย์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายมามุดฮ์คาน ผู้ก่อเหตุ น้องชายของตนจะเลี้ยวเข้าซอยเล็ก แต่เลี้ยวไม่พ้น จึงขอให้นายปราการ ผู้บาดเจ็บ ขับรถตรงออกไปตามทาง แต่นายปราการถอยรถกลับมาขวางรถกระบะของน้องชายตน ทำให้ไม่สามารถขยับรถได้ จากนั้นนายปราการก็พูดจาไม่ดี เรื่องของการขยับรถ ประมาณว่า "อยากให้ถอย มึงก็มาถอยรถเอง" ยิ่งทำให้น้องชายของตนหัวร้อน จึงมีปากเสียงกัน จากนั้นก็มีการท้าทายกัน น้องชายตนจึงหยิบไม้เบสบอลมาตีนายปราการ ซึ่งก็ยอมรับว่าผิด เพราะทำไม่ถูกต้อง
ตนก็รู้สึกผิดแทนน้องชาย ทางครอบครัวได้มีการติดต่อไปแล้ว แต่ทางผู้บาดเจ็บไม่ขอคุย เรื่องของคดีความให้เป็นเรื่องของทนายความต่อไป