แก๊งฆ่าเสี่ยโกศลแสบเทน้ำมันล้างเลือดเรือขนร่าง จับไต๋ถังน้ำมันแหกตาทิ้งศพ (คลิป)

จากกรณีภรรยาของนายโกศล ผู้สูญหาย ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่สามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังดังกล่าว จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นกำลังนอนหลับ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้า แต่ไม่พบตัวสามี ซึ่งในวันดังกล่าวสามีได้สวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือหนัก 10 บาทออกไปด้วยนั้น

วันที่ 28 พ.ค. 64 หลังจากคดีผ่านมา 25 วัน ชุดสืบสวนภาค 8 รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับปฏิบัติการกับกุมผู้ต้องหาในคดีอุ้มฆ่าเสี่ยโกศล หลังจากมีการตรวจยึดเรือหางยาวที่ใช้ลำเรียงศพของเสี่ยโกศลทิ้งกลางทะเล ที่รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบความผิดปกติของเรือลำดังกล่าวถูกยกขึ้นจากน้ำ มีกลุ่มคนช่วยกันทำความสะอาด ใช้น้ำมันโซลาล้างเรือทั้งลำ เป็นความผิดปกติจากชางประมงทั่วไป จึงได้มีการตรวจยึดเรือไปตรวจสอบ พร้อมกับควบคุมตัวกลุ่มคนที่ล้างทำความสะอาดเรือ 2 คนไปสอบและกันไว้เป็นพยานในคดี

หลังจากที่นำเรือลำดังกล่าวไปทำการตรวจสอบและอายัดไว้ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลา บริเวณห้องเครื่องมีกล่องดาวทะเล (กล่องดำเรือ) หายไป ซึ่งกลุ่มของนายแน็ค นายโจ้ ได้มีการถอดออกไปเพื่อลบข้อมูล แต่ช่วงที่มีการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา พบกล่องดาวเรือถูกซ่อนอยู่ในบ้านเจ้าของเรือ จึงได้มีการอายัดและนำไปตรวจสอบ แต่หลังจากเปิดดูข้อมูลพบว่าข้อมูลการเดินเรือถูกลบทิ้งทั้งหมด

จึงได้ส่งให้กับผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายของระบบดาวเทียมเรือ ดำเนินการเก็บกู้ข้อมูลคืนกลับมา ข้อมูลทั้งหมดกู้คืนกลับมาได้ แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อแยกแยะวันเวลาการเดินเรือ เบื้องต้นทราบว่าในวันที่มีการย้ายศพไปทิ้งกลางทะเล 4 พ.ค. 64 มีการออกเรือจากแหลมโพธิ์ ไปกลางทะเล 20 ไมค์ทะเล ก่อนที่จะย้อนกลับมาจุดเดิม คาดการณ์ว่าเป็นจุดที่มีการทิ้งศพกลางทะเล และการจับกุมได้ยึดแกลลอนน้ำมันขนาด 30 ลิตร 5 ถัง ซึ่งในแกลลอนน้ำมันมีน้ำมันเหลือ 1 แกลลอนครึ่ง

ด้าน พ.ต.อ. อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.ไชยา เปิดเผยว่า วันนี้ชุดสืบสวนทั้งพื้นที่และภาค8  กำลังเร่งไล่ล่าและกวาดล้างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายสุรัตน์ เศวตศิลป์ ซึ่งหากพบบุคคลใดเกี่ยวข้องหรือให้ที่พักพิง เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินการจับกุมโดยทันที

กลุ่มชาวบ้านและญาติของเสี่ยโกศล ให้ข้อมูลว่า หลังจาก พ.ต.อ. อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.ไชยา เดินทางมาแจ้งความคืบหน้า และกล่าวถึงการพบดาวทะเลหรือกล่องดำเรือ อ้างว่าเป็นของเรือลำที่ใช้ก่อเหตุ มีการออกเดินเรือ 20 ไมค์ทะเล หรือ 32 กิโลเมตร ไปกลับ 40 ไมค์ทะเล

หากเรือที่ใช้ก่อเหตุตรวจยึดแกลอนน้ำมันได้ 5 แกลลอน ใช้เพียง 4 แกลลอน เท่ากับว่าเรือลำดังกล่าววิ่งไปกลับไม่เกิน 40 ไมค์ทะเล ดังนั้นจึงมีความใกล้เคียงสามารถไปกลับได้ในระยะดังกล่าว แต่ถ้าหากออกทะเลไปหมู่เกาะอ่างทอง 36 ไมค์ทะเล ไปกลับ 72 ไมค์ทะเล จะต้องใช้น้ำมันถึง 7-8 แกลลอน ดังนั้น ก่อนที่คนในครอบครัวจะเชื่อข้อมูลดาวทะเลจากตำรวจ จะต้องนำมาเทียบเคียงความเป็นไปได้ก่อน

นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปสำรวจคานเรือ จุดยกเรือขึ้นจากน้ำเพื่อซ่อมบำรุง ในพื้นที่ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา ซึ่งเป็นจุดที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 8 มีการลงพื้นที่ตรวจสอบเรือต้องสงสัย พบว่ามีกลุ่มคนยกเรือขึ้นมาจากน้ำ และใช้น้ำมันโซลาในการล้างเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่างในเรือหางยาว ก่อนที่จะมีการลบข้อมูลในกล่องดาวทะเล

คานเรือดังกล่าวเป็นของชาวบ้านในพื้นที่พุมเรียง ใกล้กับท่าเทียบเรือของกำนันยุวดี พี่สาวนายสุรัตน์ และเรือที่นำขึ้นมาทำลายหลักฐาน เป็นเรือของชาวบ้านที่ขายต่อให้กับคนในครอบครัวนายสุรัตน์ สังเกตว่าวันนี้มีเพียงคานเรือว่างเปล่า ไม่มีเรือต้องสงสัยจอดอยู่

ชาวบ้านในพื้นที่ บอกว่า ที่คานดังกล่าวเคยเห็นเรือของชาวบ้านลำหนึ่ง ถูกลากขึ้นมาในช่วงที่มีคดีเสี่ยโกศลถูกอุ้มฆ่า และมีคนของฝั่งนายสุรัตน์เป็นคนไปซ่อมเรือ เป็นคนไปล้างทำความสะอาดเรือ แต่ส่วนใหญ่เรือที่นำขึ้นมาก็จะเป็นการซ่อมบำรุงหรือปิดรอยรั่ว ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่าเรือที่นำขึ้นมาเกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้ไหม

นางจินดาหรา วสินทรัพย์ ภรรยาของเสี่ยโกศล เปิดเผยว่า กรณีที่ตำรวจเจอดาวทะเล ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องความคืบหน้าทางคดี แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามหาให้เจอตั้งแต่วันแรก ๆ ทำไมถึงเพิ่งเจอแล้วมาบอกช่วงนี้ เพราะที่ผ่านมาออกค้นหาเหมือนงมเข็มในมหสสมุทร ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่ากล่องดาวทะเลที่เจอเป็นของเรือที่ใช้ก่อเหตุจริงหรือไม่

ส่วนกรณีที่นายบำรุงออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ ที่เมียนิ้วขาดไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยโกศล ตนเองเชื่อตามที่นายบำรุงออกมาให้สัมภาษณ์ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณ 1 เดือนก่อนที่เสี่ยโกศลจะถูกอุ้มหาย ตนเองก็ได้ยินจากคำบอกเล่าของนายแน็ค ที่มาเล่าให้เสี่ยโกศลฟังก่อนที่จะเกิดเหตุว่าภรรยาของนายบำรุงถูกยิง เพราะเอามือไปขวางคนทะเลาะกัน แต่การแจ้งข้อกล่าวหานายบำรุง 4 ข้อหา ตนเองมองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลมากเพียงพอจึงมีการแจ้งข้อกล่าวหาว่ามีการอำพรางหรือทำลายหลักฐาน ถ้าหากคนไม่เกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่ก็คงจะไม่แจ้งข้อกล่าวหาใคร หากย้อนกลับไปตนเองก็จำได้ว่านายบำรุงพูดเสมอว่ากินยานอน ทั้งที่มีคราบเลือดอยู่ในบ้าน แต่กลับมีคนล้างทำความสะอาดให้ ถ้าหากนายบำรุงไม่เป็นคนล้างเลือดด้วยตนเอง ก็ต้องมีลูกน้องหรือคนอื่นช่วย

ขณะที่อาจารย์อ๊อด ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ที่ออกมาวิเคราะห์ผลการตรวจกระดูกที่พบในกองเผานั่งยาง ยืนยันว่าเป็นกระดูกสิ่งมีชีวิต อยากจะให้ตำรวจตรวจสอบหาดีเอ็นเอ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของตนเองที่จะนำกระดูกไปร้องให้มีการตรวจสอบ เพราะตำรวจมีหน้าที่ที่จะคลี่คลายคดี หากเป็นกระดูกของสามี อย่างน้อยตัวเองก็จะได้นำมาประกอบพิธีทางศาสนา และจะได้ยุติการค้นหา จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาในทะเล เพราะที่ผ่านมาสูญเสียค่าใช้จ่าย และเสียเวลาไปมาก

อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนเองได้ตัดสินใจขายเรือ 2 ลำ แต่อยู่ในขั้นตอนที่ชาวประมงที่สนใจเข้ามาดูสภาพเรือ เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเสี่ยโกศลมีเรือจำนวน 5 ลำ การซ่อมบำรุงหรือการดูแลรักสาเสี่ยโกศลก็จะเป็นคนดูแลด้วยตนเอง แต่เมื่อวันนี้สูญเสียเสาหลัก ตัวเองต้องขึ้นมาเป็นเสาหลักแทน ด้วยสภาพที่เป็นผู้หญิงจึงไม่สามารถที่จะดูแลจัดการได้ทั้งหมด จึงตัดสินใจขายออกไปจำนวนหนึ่ง เพื่อแบ่งเบาภาระ แต่ก็ยังเก็บเรือเอาไว้อีก 3 ลำ เพื่อให้ลูกน้องยังคงใช้ออกงมหอยบิดในทะเล

ส่วนกรณีนายบำรุง ดีมีศรี อายุ 66 ปี ชาวบ้านตำบลตะกรบ ผู้ต้องหาในคดีแจ้งความอันเป็นเท็จ และทำลายพยานหลักฐานฯ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ ออกมาชี้แจงว่า "ภรรยาของตนเองถูกยิงนิ้วขาด ไม่เกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่าเสี่ยโกศล แต่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกยิงเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน เหตุจากระงับเหตุพ่อลูกทะเลาะกัน" นั้น

พระยักษ์ (นามสมมติ) ที่ถูกพ่อไล่ยิง ลูกน้องของนายบำรุง เปิดเผยว่า ตนเองมาบวชตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 พ.ค. หลังจากเกิดเหตุเสี่ยโกศลถูกอุ้มฆ่า การมาบวชก็เป็นเพราะว่าต้องการทำจิตใจให้สงบ เพราะเคยถูกพ่อไล่ยิง ประกอบกับมีปัญหาในชีวิต จึงได้ตัดสินใจมาบวชเพื่อทำจิตใจให้สงบ ยืนยันว่าเหตุการณ์ในวันดังกล่าวเป็นเหตุการณ์พ่อเมาสุรา และสื่อสารพูดคุยกับตนเองไม่รู้เรื่อง จึงได้มีการก่อเหตุใช้อาวุธปืนลูกซองขึ้นมาขู่ แต่ปืนลั่น ยิงถากเข้าที่ไหล่ซ้าย กระสุนปืนยิงไปโดนเบาะและกระจกแตกเสียหาย แต่ในความโชคร้ายคือมือของภรรยานายบำรุงวางอยู่บริเวณเบาะ จึงทำให้ถูกยิงและนิ้วขาด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีการตายของเสี่ยโกศล เพราะเกิดขึ้นตั้งแต 1 เม.ย. ไม่ใช่ในคืนวันที่ 3 พ.ค.

พระยักษ์ ระบุว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์ในคืนที่เสี่ยโกศลถูกอุ้มฆ่า อยู่ที่หน้าห้องแถวของเสี่ยโกศล เป็นคนซื้อเหล้ามาให้ทุกคนนั่งดื่มสังสรรค์กัน แต่เหตุการณ์ที่หน้าห้องแถวไม่ได้มีเหตุความรุนแรงหรือใครทะเลาะกัน จนกระทั่งเปลี่ยนสถานที่ไปนั่งกินอยู่ที่บ้านของนายบำรุง คืนนั้นตนเองก็ซื้อเหล้าและเอาไปให้ที่บ้านนายบำรุง จากนั้นก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ไม่ได้ไปนั่งดื่มต่อกับเสี่ยโกศลหรือนายสุรัตน์ เป็นเพียงคนซื้อเหล้าเข้าไปให้ กรณีที่มีคนโยงว่าตนเองมีส่วนรู้เห็นกับการช่วยล้างคราบเลือดในที่เกิดเหตุร่วมกับนายบำรุงนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เขายิงกัน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหา 4 ข้อกับนายบำรุง ซึ่งมีส่วนรู้เห็นกับการซ่อนอำพรางพยานหลักฐานและล้างคราบเลือดนั้น ตนเองรู้สึกสงสารและเป็นหวงที่ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีดังกล่าว ส่วนตัวก็เชื่อว่านายบำรุงแม้ว่าจะเป็นเจ้าของบ้านแต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยโกศล

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มศว ให้ข้อมูลว่า ข้อสันนิษฐานสภาพศพเสี่ยโกศลหากอยู่ในทะเล กรณีห่อศพด้วยผ้าใบ การย่อยสลายจะเร็วกว่าเป็น 2 เท่า เพราะอาจจะไม่มีซากสัตว์มาแทกกินร่างได้ ทำให้ยังคงมีเนื้อที่สมบูรณ์มากกว่าที่ไม่ได้ห่อร่าง เพราะเนื้อเนื่ออาจจะย่อยสลายได้เกือบสมบูรณ์