กรณีข่าวเจ๊เอ๋ เจ้าหนี้ซึ่งเคยปรากฏคลิปการทวงหนี้โดยการดุด่าลูกหนี้ จากนั้นได้มีการไปร่วมรายการหนึ่งลักษณะทำนองว่าไม่ได้เป็นผู้ปล่อยหนี้นอกระบบ แต่ช่วยเหลือคนที่ไม่มีเงินใช้ หากไม่มีจ่ายก็ไม่ทวง แต่จะมีการมอบเงินเพื่อช่วยเหลือเพิ่มครั้งละ 500-1,000บาท จนกระทั่งเป็นผู้ที่โด่งดังในโลกออนไลน์ และมีคนติดต่อไปขอยืมเงินหวังเป็นที่พึ่ง แต่สุดท้ายมีผู้ร้องเรียนว่ามีการคิดดอกเบี้ยและค่าปรับ พร้อมทั้งมีการตบตีทำร้ายร่างกาย และยังบังคับให้กราบด้วยนั้น
วันที่ 31 พ.ค. 64 ที่กองบังคับการปราบปราม พหลโยธิน กรุงเทพฯ มีกลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันประมาณ 25 คน มาร้องขอความเป็นธรรม และให้มีการดำเนินคดีกับเจ๊เอ๋
นางกิตติยา นิลละชา หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า วันนี้ที่ตนเองเดินทางมาร้องกองปราบปรามฯ ให้ดำเนินคดีกับเจ๊เอ๋ เป็นเพราะว่าตกเป็นเหยื่อ ส่วนใหญ่เฉลี่ยไปกู้เงินนอกระบบตั้งแต่หลัก 10,000 บาท ไปจนกระทั่งหลัก 100,000 บาท
โดยทุกคนถูกหลอกเพราะตกเป็นเหยื่อ เจ๊เอ๋ได้นำคลิปจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ไปอวดอ้างตัวเองและโฆษณาตัวเองให้มีคนหลงเชื่อว่าเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีเงินก็หยิบยืมไปใช้จ่าย หากไม่มีก็มีการเพิ่มเงินเอาไปให้ใช้จ่าย แต่สุดท้ายกลับมีการคิดดอกเบี้ย และมีการบังคับให้จ่ายเงิน
ทั้งนี้ หากไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย จะคิดเป็นค่าปรับวันละ 1,000 บาท ถ้าหากวันถัดไปไม่จ่าย ก็จะทบอีก 1,000 บาท เท่ากับว่าถ้าไม่มีจ่ายต้องโดนปรับ 2,000 บาทต่อวัน
มากไปกว่านั้น ผู้เสียหายที่รวมตัวกันมาในวันนี้ ยังถูกเรียกให้ไปพื้นที่ส่วนตัว มีการตบตีทำร้ายร่างกายบังคับให้จ่ายเงิน เพื่อเป็นการสั่งสอน อีกทั้งยังใช้ความรุนแรง และคำพูดที่รุนแรง บังคับให้มีการกราบอวัยวะเพศ แล้วจะมีการยกหนี้ให้ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีลูกหนี้คนไหนกล้าที่จะทำแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม มีลูกหนี้บางรายที่ไม่ได้เดินทางมาถึงขั้นจะผูกคอตาย เพราะไม่ใช่เงินกู้นอกระบบร้อยละ 20-30 แต่มันคือโหดแบบวันละ 2,000 บาท
ส่วนกรณีที่เจ๊เอ๋ เคยไปออกรายการโทรทัศน์อ้างว่าเป็นคนไม่มีแม่ เพราะแม่ตัวจริงเป็นถึงหม่อมราชวงค์ แล้วถูกขโมยมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก นางบังอร ศรีโสภณ อายุ 73 ปี แม่ของเจ๊เอ๋ เปิดเผยว่า ตนเองคือแม่ที่ให้กำเนิดเจ๊เอ๋ และเป็นแม่ที่เจ๊เอ๋คลานออกมาจากร่าง ฉะนั้นถ้าให้มีการตรวจดีเอ็นเอว่าเจ๊เอ๋เป็นลูกใครกันแน่ แต่ตนเองก็งงว่าทำไมให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าตนเองไปขโมยเจ๊เอ๋มาจากหม่อมราชวงศ์ ทั้งที่ไม่ใช่ความจริง และตนเองก็เป็นแม่ที่ดูแลมาตั้งแต่เด็ก
หลังจากที่เจ๊เอ๋ร่ำรวย เป็นคนมีเงินและเป็นคนดัง ก็ไม่ได้สนใจใยดีตนเอง แล้วยังเที่ยวไปให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีการให้เงินตนเองในฐานะคนที่เคยดูแล ครั้งละหลักแสนหลักล้านบาท ยืนยันว่าตัวเองไม่เคยได้รับเงิน แต่ในทางกลับกันตนเองถูกทำร้ายร่างกาย เพราะไม่พอใจที่ออกมาพูดหรือเปิดโปง หรือแม้แต่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของเจ๊เอ๋
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านพักใน ต.ปากเพรียว อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี นางสาวณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ หรือ เจ๊เอ๋ เปิดเผยว่า คนที่ไปร้องกองปราบฯไม่ได้เป็นผู้เสียหาย แต่ตนต่างหากที่ตอนที่ตกเป็นผู้เสียหาย หนึ่งในคนที่ไปร้องกองปราบ คือท้าวนัทผมสีทอง เรื่องราวเริ่มจากท้าวนัทได้ไปโกงผู้เสียหายจำนวนหลายคน และเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 64 ผู้เสียหายได้มาขอให้ตนช่วยเหลือ ตนจึงให้ทั้งผู้เสียหาย และท้าวนัทมาเซ็นเอกสารรับรองว่ามาขอความช่วยเหลือ ตนให้เล่นแชร์วงละ 100,000 บาท 2 มือรวมแล้วเป็น 200,000 บาท เอาไปให้ผู้เสียหาย
หลังจากที่ตนใช้หนี้ให้ผู้เสียหายแทน ท้าวนัทก็ไม่เคยเอาเงินมาคืน ตนก็พยายามทวงถาม แต่ท้าวนัทยืนยันว่าจะไม่ให้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายที่ไปร้องกองปราบฯ เคยมากินนอนที่บ้านของตนทั้งหมด แต่หลังจากที่ตนใช้หนี้ให้ ผู้เสียหายกับท้าวนัทได้ไปเที่ยวด้วยกัน ตนยืนยันว่าไม่เคยปล่อยดอกเด้งดอกโหด มีแต่คนมาขอให้ปิดหนี้ปิดดอกให้ แต่คนที่กล่าวหา ตัวเขาเองนั่นแหละที่ปล่อยดอกโหด ตนไม่เคยโกงใคร
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้น เกิดจากการขัดผลประโยชน์ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2561 มีผู้เสียหายมาขอร้องให้ปิดหนี้ ทำให้ท้าวนัทไม่พอใจที่ต้องไปใช้หนี้กับทุกคน ทั้งนี้ หากผู้เสียหายเข้ามาคุยและกล่าวขอโทษ ตนก็พร้อมที่จะให้อภัย แต่สำหรับท้าวนัทอยู่ในระหว่างการดำเนินเรื่องเอาความอยู่
ส่วนกรณีแม่กับน้องชาย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชีวิตของตนค่อนข้างจะยากจน ตนย้ายมาอยู่ที่โรงสี จ.สระบุรี ทำมาหากินตามปกติ แต่น้องชายของตนกล่าวหาว่าไม่ดูแล ทั้งที่ตนให้ลูกสาวเอาเงินไปให้ทุกสัปดาห์ รวมถึงแม่ก็บอกว่าตนไม่ใช่ลูกเขา กระทั่งตนไปออกรายการโหนกระแส และเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อประมาณปลายเดือน พ.ย. 2562 แม่ของตนได้เรียกค่าใช้นามสกุลจำนวน 3 แสนบาท ด้วยเหตุนี้ตนจึงทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุล เป็น "เกษมสารพิพัฒน์" หลังจากนั้น ปลายเดือน ธ.ค. 2562 ตนกับสามีไปซื้อของที่ตลาด และบังเอิญเจอน้องชายกับแม่ ตนก็พยายามหลบ เพราะไม่อยากจะมีเรื่อง แต่น้องชายเหมือนจะตั้งใจมาดักรออยู่แล้ว
ขณะนั้นได้เดินมาต่อยจนเกิดการตะลุมบอนกัน ขณะนั้นแม่ของตนได้กระชากสร้อยทองหนัก 10 บาทของสามี ป แต่พอคนในตลาดตะโกนบอก แม่ของตนเลยโยนทิ้งลงพื้น ส่วนตนได้โทรหาลูกชายบอกว่าตัวเองโดนต่อย ลูกชายกับกลุ่มเพื่อนเดินทางมาถึงก็เข้าไปทำร้ายน้องชายของตนทันที น้องชายจึงคว้าเก้าอี้เหล็กขึ้นมาเพื่อจะตีเด็ก ๆ ที่เข้ามาช่วย แต่พลาดไปโดนหัวแม่ตัวเอง และโดนแขนของสามีตน จากนั้นตนได้ลงบันทึกประจำวันไว้ แต่ไม่เอาเรื่อง
จากเหตุการณ์ที่เกิด แม่กับน้องชายเป็นฝ่ายไม่เอาตนเอง และหมั่นไส้ตน เพราะเวลาตนถูกหวยมักจะแจกของ ต้องการแบ่งปันให้คนอื่น เพราะเคยอดมาก่อน อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะฝากบอกคู่กรณีว่า ถ้าอยากจะกล่าวหาตนก็สามารถกล่าวหาได้ แต่ขอให้เอาผู้เสียหาย และหลักฐานมาโต้กัน แต่เรื่องดอกโหด ตนอยากจะให้ย้อนดูตัวเอง อีกทั้งเรื่องคดีความที่เกิดขึ้น เพราะอีกฝ่ายรับเงินไปหมดแล้วหรือเปล่า เลยหาข้ออ้างไม่อยากจะใช้หนี้ตน
ด้านนายขวัญ นามนิยม น้องชายเจ๊เอ๊ เปิดเผยว่า ตนเองยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เจ๊เอ๋ทำร้ายร่างกายแม่เกิดขึ้นจริง และยืนยันว่าเจ๊เอ๋ก็คือพี่สาวของตนเอง ไม่มีเหตุผลใดที่เจ๊เอ๋จะอ้างว่าเป็นลูกของคนอื่น ส่วนตัวในฐานะที่เป็นน้องชายที่แท้จริง ก็ยังเคยถูกเจ๊เอ๋จ้างวานคนด้วยจำนวนเงิน 3,000 บาท ให้มารุมกระทืบตนเอง เพราะเหตุไม่พอใจไปยุ่งหรือขัดขวางการทำธุรกิจของเจ๊เอ๋
วันนี้ตนเองในฐานะคนในครอบครัว ก็อยากให้เจ๊เอ๋ออกมารับความจริง ออกมารับผิดชอบกับผู้เสียหาย ออกมาจ่ายเงินคืนให้กับผู้เสียหายที่เล่นแชร์และรวมไปถึงเงินกู้นอกระบบ แต่ถ้าหากผู้เสียหายจะมาร้องขอหรือให้ตนเองเป็นคนจ่ายเงินแทน ก็คงจะไม่มีไปจ่ายแทนให้ เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนเจ๊เอ๋