กรณีข่าวเจ๊เอ๋ เจ้าหนี้ซึ่งเคยปรากฏคลิปการทวงหนี้โดยการดุด่าลูกหนี้ จากนั้นได้มีการไปร่วมรายการหนึ่งลักษณะทำนองว่าไม่ได้เป็นผู้ปล่อยหนี้นอกระบบ แต่ช่วยเหลือคนที่ไม่มีเงินใช้ หากไม่มีจ่ายก็ไม่ทวง แต่จะมีการมอบเงินเพื่อช่วยเหลือเพิ่มครั้งละ 500-1,000บาท จนกระทั่งเป็นผู้ที่โด่งดังในโลกออนไลน์ และมีคนติดต่อไปขอยืมเงินหวังเป็นที่พึ่ง แต่สุดท้ายมีผู้ร้องเรียนว่ามีการคิดดอกเบี้ยและค่าปรับ พร้อมทั้งมีการตบตีทำร้ายร่างกาย และยังบังคับให้กราบด้วยนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ลูกหนี้แจ้งจับ "เจ๊เอ๋" แฉถูกตบสั่งกราบจิ๊มิ เจ้าตัวฉะญาติรวมหัวเบี้ยวหนี้นับแสน
วันที่ 1 มิ.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ตลาดโคกหนามแท่ง ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี จุดเกิดเหตุที่เจ๊เอ๋และแม่ทะเลาะกัน ซึ่งแม่ค้าในตลาดให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น 1 ปีกว่าแล้ว ในวันเกิดเหตุก็ไม่ทันสังเกตว่าใครเป็นใคร เจ๊เอ๋และแม่ก็ตะลุมบอนกันชุลมุนจนไม่รู้ใครเป็นใคร ยอมรับว่าครอบครัวนี้ไม่ถูกกัน ซึ่งคนในตลาดก็ไม่ค่อยมีใครรู้ข้อมูล และพูดอะไรได้ไม่มาก เพราะทุกวันนี้เจ๊เอ๋ก็ยังมาเดินตลาดอยู่ กลัวจะผิดใจกัน
ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านแม่ของเจ๊เอ๋ เปิดเป็นร้านขายกล้วยทอด อยู่ห่างจากตลาดโคกหนามแท่ง 500 เมตร นายต้อย เล็บครุฑ อายุ 73 ปี พ่อเลี้ยงของเจ๊เอ๋ เปิดเผยว่า ตนยืนยันว่าเจ๊เอ๋เป็นลูกแท้ ๆ ของนางบังอร ศรีโสภณ หรือ ยัง แต่พ่อของเจ๊เอ๋ทิ้งไปนานแล้ว เพราะตอนที่ตนไปจีบนางบังอร ก็เห็นเจ๊เอ๋ช่วงอายุประมาณ 16-17 ปี แต่พอเริ่มโตและมีเงิน เจ๊เอ๋ก็เป็นคนตัดขาดครอบครัวและบอกว่านางบังอรไม่ใช่แม่ ไม่ยอมเรียกแม่ แต่เรียกว่า "อียัง" ซึ่งการที่เจ๊เอ๋ไปบอกใคร ๆ ว่าเป็นลูกหม่อมนั้น ตนก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูด เขาไม่อายคนหรืออย่างไร เจอกับตนก็ไม่เคยพูด ไม่เคยมองหน้าด้วยซ้ำ
นายต้อย กล่าวต่อว่า ตอนที่นางบังอรและเจ๊เอ๋ตีกัน จนนางบังอรได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากนั้น เป็นเรื่องชุลมุนมาก ตอนนั้นตนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนผิด แต่ตนยืนยันได้ว่าตั้งแต่เจ๊เอ๋มีเงินมีทอง เขาก็ไม่เคยที่จะมาจุนเจือแม่เขาเลยเรื่องเงิน 300,000 บาทก็ไม่ได้ให้ ซึ่งตนมองว่าเขาเป็นคนอกตัญญูมาก
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านต่างพูดกันว่า เจ๊เอ๋ถือว่าตัวเองรวยก็ลืมพ่อลืมแม่ทั้งหมด ตนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนเจ๊เอ๋เด็ก ๆ นั้น เขาก็ปกติกับแม่และครอบครัวดี
ทีมข่าวลงพื้นที่ชุมชนข้างวัดโคกหนามแท่ง ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี นางบังอร ศรีโสภณ อายุ 73 ปี แม่ของเจ๊เอ๋ เปิดเผยว่า ตนไม่เคยพูดเลยว่าจะตัดเจ๊เอ๋จากการเป็นลูก แต่วันที่ทะเลาะกันที่ตลาดนัด เจ๊เอ๋เป็นคนพูดว่าจะตัดแม่ตัดลูกกับตน เพียงเพราะมีปัญหากับนายขวัญ และหลังจากนั้นเขาก็เคยโพสต์ลงเฟซบุ๊กเรียกตนว่า "อียัง บอกลูกมึงด้วยนะ กูตามหาพวกมึงไม่เจอ" แต่ก็เป็นเรื่องนานถึง 1 ปีแล้ว
นางบังอร กล่าวต่อว่า สิ่งที่เจ๊เอ๋อ้างว่าเคยทำงานลำบาก ขุดปู เผาถ่านนั้นก็ไม่จริง เพราะตนเป็นคนทำทั้งหมด ส่วนเจ๊เอ๋แค่เอาของไปขาย ซึ่งตนก็ทำไปเพราะตนเป็นแม่ แต่เรื่องรักสามีนั้นหรือเอาเงินไปเลี้ยงสามีหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องในครอบครัวเขา หลังจากนี้ก็ขอต่างคนต่างอยู่ และตนจะอยู่เฉย ๆ และตนยืนยันว่าไม่ได้รักลูกชายมากกว่า ทุกวันนี้ยังนอนคิดถึงเจ๊เอ๋ แต่ถ้าเขาบอกว่าตนรักลูกไม่เท่ากันนั้น ตนก็อยากบอกเขาว่าจะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ปากจะพูด และตนก็คงจะไม่หวังไปพึ่งพาเขาแม้เขาจะเสนอความช่วยเหลือ เพราะตนยังหากินเองได้
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เคยเรียกเงินจากเจ๊เอ๋จำนวน 300,000 บาท แต่ยอมรับว่าเคยขอให้เขาเปลี่ยนนามสกุลจริง เพราะกลัวเขาจะเอานามสกุลไปเสื่อมเสีย เนื่องจากเจ้าตัวปล่อยเงินกู้นอกระบบ เดิมทีเจ๊เอ๋ใช้นามสกุล "นามนิยม" ของพ่อ แต่ก็แอบมาเปลี่ยนนามสกุลเป็นนามสกุลเดียวกับตน โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเจ๊เอ๋หาแต่เรื่องให้กับครอบครัว
น.ส.ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ หรือ เจ๊เอ๋ อายุ 45 ปี เจ้าหนี้ เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกับแม่และน้องชาย ไม่ยุ่งกันเพราะตนไม่อยากที่จะเจอ น้องชายมีแต่สร้างปัญหา ถ้าอยากให้ตนช่วยเหลือก็อยากให้มาคุยดี ๆ ไม่ใช่มาขู่พวกตน ตนไม่อยากยุ่งกับน้องชายเพราะเขาเป็นคนขี้ขโมย เคยยืมรถมอเตอร์ไซค์ของลูกชายตนไปวิ่งราวทรัพย์และถูกตำรวจจับ สุดท้ายตำรวจก็มาจับลูกชายตนเพราะเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ ตนต้องตามเคลียร์เรื่องของลูกชายจนจบ และตอนที่น้องขายติดคุก ตนก็เอาเงินให้ไปใช้ในคุกสัปดาห์ละ 500 บาท แต่มีช่วงที่ตนรายได้ไม่ดี จึงไม่ได้เอาเงินไปให้ เมื่อน้องชายออกจากคุกก็กลับไปฟ้องแม่ว่าตนไม่ดูแล จนแม่มาตีตน เหตุผลหลายอย่างที่ตนขอต่างคนต่างอยู่ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อนที่ตนไปออกรายการโทรทัศน์ แม่กลับมาด่าว่าตนทำนามสกุลเสื่อมเสีย และขอเงินค่าน้ำนม 300,000 บาท ตนจึงไม่ให้ และตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุล มีการบันทึกข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรที่โรงพัก ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 62
ส่วนเรื่องอ้างเป็นลูกหม่อมนั้น ตนยืนยันว่าไม่เคยพูด ตนชอบโพสต์รูปลูกชายในเฟซบุ๊กและพิมพ์ข้อความว่า "ทูลหัวของบ่าว" จึงเชื่อว่าจะมีคนตีความผิด ตนยืนยันฝ่ายน้องชายแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ถ้าใครที่ได้ยินตนพูดแบบนั้นก็เอาคนมายืนยันเลย ตอนนี้ได้บทสรุปว่าจะขอต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าวันไหนแม่ไม่ไหวก็ขอให้เดินมาบอกตน ตนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ ยืนยันว่าไม่ได้รวยแล้วทิ้งแม่ ไม่ได้ปรนเปรอสามี และถ้าแม่เป็นอะไรไปก็มีแต่ตน ซึ่งวันนี้ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรที่รายการโหนกระแสว่าจะไม่ยุ่งกันแล้ว
ส่วนเรื่องโกงแชร์นั้น ตนมองว่าตนต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย เพราะกลุ่มคนที่โรงเรียนนั้นเป็นสมาชิกในวงแชร์ของท้าวนัท แต่ท้าวนัทไม่มีเงินส่ง พวกผู้เสียหายจึงมาร้องเรียนกับตน มากินนอนที่บ้านตนถึง 2 วัน ด้วยความสงสารตนจึงใช้หนี้แทนท้าวนัท เป็นมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท และให้ท้าวนัทมาส่งเงินในอีกวงแชร์หนึ่ง แต่สุดท้ายท้าวนัทก็ไม่ส่งเงินให้กลุ่มแชร์ แล้วคนที่ตนเคยใช้หนี้แทนท้าวนัทก็ยังมาแจ้งความจับตรวจอีก ซึ่งตนก็งงว่าเป็นเพราะอะไร เขาอยากได้อะไรจากตน ตนต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม ตนได้ข้อสรุปว่าคนที่คิดว่าตนเรียกดอกเบี้ยโหด ก็ขอให้เขาเอาเงินต้นมาจ่ายคืนต้นทั้งหมด ตนจะไม่เก็บดอกและเราไม่ต้องมายุ่งกันอีก ตนได้ทำสัญญาที่รายการแล้ว แต่ถ้าใครอยากที่จะได้ความช่วยเหลือตนก็พร้อมที่จะช่วย ส่วนเรื่องที่เขาอ้างว่าคนปล่อยกู้ 9,000 บาท แต่เรียกเก็บ 90,000 บาทนั้น เป็นเรื่องเมื่อ 2 ปีก่อน มีลูกหนี้ยืมเงินตนไป แต่ไม่ส่งคืนและตนก็ปรับวันละ 1,000 บาท ทวงเขาไป 90,00 บาท แต่สุดท้ายเขาก็หนีหาย ตนก็ไม่ได้เงินสักบาท เพราะลูกหนี้รายนี้หายไปกว่า 2 ปี ถ้าต้องใช้หนี้ตามค่าปรับจริงก็รวมเป็นเงินกว่า 700,000 บาทแล้ว