จากกรณีคนร้ายก่อเหตุอุกฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนยิง นายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือฟอส อายุ 20 ปี และน.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือสปาย อายุ 20 ปี ชาวอำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งสองยังเป็นคู่รักกันจนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2561 ที่ลานจอดรถฝั่งตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเข้าชีจรรย์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายได้เกือบครบ โดยช่วงค่ำของวันที่ 15 ส.ค.61 มีรายงานข่าวว่า นายปัญญา ยิ่งดัง หรือ เสี่ยอ้วน ผู้ต้องหาคดียิงน้องฟอสกับสปาย เสียชีวิต ก่อนหลบหนีไปกัมพูชา ถูกจับกุมตัวได้แล้วนั้น
วันที่ 16 ส.ค.61
นางวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ แม่ของน.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือสปาย เผยว่า ตนและสามีติดตามข่าวดังกล่าวมาตลอดและคาดหวังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ทุกคืนขณะที่ตนกำลังนอนจะได้ยินเหมือนเสียงคนร้องไห้และเหมือนกับว่าน้องสปายและน้องฟอส มานั่งร้องไห้ด้วย ช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ (15 ส.ค.) ขณะที่นั่งอยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงกระจกดังเหมือนมีคนเอาหินมาปา แต่เมื่อเดินเข้าไปดูก็พบลูกแก้วของน้องสปาย เหมือนจะบอกว่าอีกไม่นานตำรวจจะสามารถจับตัว “เสี่ยอ้วน” มาดำเนินคดีให้ได้และก็ได้รับข่าวดี
“ตนขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติหน้าไม่ขออโหสิกรรมให้ เสี่ยอ้วน และไม่ต้องการที่จะให้มาขอขมาแต่อย่างใด เพราะครอบครัวเจ็บช้ำกับการกระทำของเสี่ยอ้วนเกินที่จะให้อภัย เพราะครอบครัวเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นหญิง แต่เมื่อตำรวจจับได้ก็รู้สึกดีใจและเป็นข่าวดีและขอให้ตำรวจดำเนินคดีเสี่ยอ้วนให้ถึงที่สุดและรับโทษประหารชีวิตด้วย เพราะเชื่อว่าวิญญาณของลูกสาวยังอาฆาตแค้นและต้องการให้ตำรวจดำเนินคดีสูงสุด” นางวันเพ็ญ กล่าว
ด้าน
นางจอมศรี ชมพูพื้น แม่น้องนายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือฟอส กล่าวว่า วันนี้ครอบครัวหมดสิ้นทุกอย่าง และหวังว่าตำรวจจะจับตัวคนมาลงโทษได้ เพราะวิญญาณของลูกชายยังมีห่วงและล่าสุดก่อนที่จะรู้ข่าวปรากฏว่า รถเก๋งของลูกชาย มีการกระพริบไฟถึงสองครั้งและตนก็ยังคงฝันเห็นลูกชายอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเป็นลางบอกว่าตำรวจจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
“ตนได้ข่าวรู้สึกดีใจมาก ครอบครัวนอนไม่หลับเลยและตนก็พึ่งจะหายจากไข้หวัด การจับกุมได้นั้นขอชื่นชมตำรวจไทยมีฝีมือและเก่งมาก ในส่วนตัวนั้นก็ไม่ขอจองเวรกรรมอะไร ก็ขออโหสิกรรมกับการกระทำของเสี่ยอ้วน เพราะเชื่อว่า เสี่ยอ้วนก็จะต้องได้รับผลกรรมที่รุนแรงเช่นเดียวกับลูกของตน เป็นไปได้ก็ต้องการให้มาขอขมา ส่วนจะมาได้หรือไม่ก็สุดแล้วแต่ และก็ขอให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย” นางจอมศรี กล่าวในที่สุด