กรณีที่เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 61 นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาครอบครัวของ น.ส.ดวงจันทร์ ทวีพันธ์ นักธุรกิจสาวที่เสียชีวิตคารถยนต์ ใน จ.อำนาจเจริญ เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา เข้ามายื่นหนังสือที่กองบังคับการปราบปรามขอให้มีการรื้อฟื้นคดีดังกล่าว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า การเสียชีวิตของน.ส.ดวงจันทร์ เป็นการฆ่าตัวตาย แต่ญาติไม่ปักใจเชื่อ พราะพบพิรุธหลายประการนั้น
วันที่ 4 ก.ย. 61
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เปิดเผยว่า ตนไม่เชื่อผลชันสูตรก่อนหน้านี้ ติดใจว่าเป็นการฆาตกรรมมากกว่าการฆ่าตัวตาย สาเหตุเชื่อว่ามูลเหตุจูงใจเกิดขึ้นจากผลประโยชน์เงินกู้ยืมนอกระบบ ทั้งนี้ครอบครัวคนตายจึงไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ โดยตำรวจในพื้นที่สรุปสาเหตุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เมื่อครอบครัวทราบข่าวก็ได้เดินทางจาก จ.อำนาจเจริญ เพื่อมายื่นเรื่องร้องเรียนที่กองปราบปราม ให้ตรวจสอบคดีนี้อีกครั้ง
ส่วนเรื่องท่านอนของผู้ตาย ที่ครอบครัวติดใจสงสัย ซึ่งตนเองได้ขอให้ตำรวจช่วยจำลองเหตุการณ์ให้ดูว่า ทำไมเอาถุงพลาสติกคลุมหัวนอน ทำไมไปนอนท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีคำอธิบายเรื่องท่านอนของผู้ตาย โดยในวันเกิดเหตุผู้ตายมีเงินสดติดตัว 1 แสนบาท และเงินสดนั้นได้หายไป นอกจากนี้แฟ้มเอกสารสีฟ้า ซึ่งมีข้อมูลบัญชีรายชื่อลูกหนี้และรายชื่อเจ้าหนี้ทั้งหมด รวมถึงสมุดบัญชีลูกหนี้ว่าใครเป็นหนี้ จำนวนเท่าไหร่ ทั้งหมดหายไป ยกเว้นเพียงแหวนทองที่นิ้วไม่ได้หายไปด้วย
ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่า วันเกิดเหตุผู้ตายเดินทางไปคนเดียวแล้วจะเกิดเหตุฆาตกรรมได้อย่างไร ทนายรณณรงค์อธิบายว่า วันเกิดเหตุประมาณ 08.00 น. ผู้ตายได้บอกกับแม่ว่าจะไปซื้อต้นพริกมาให้ปลูกหลังบ้าน การพูดกับแม่เช่นนี้ไม่ใช่สัญญาณการฆ่าตัวตาย คนฆ่าตัวตายคงจะไม่บอกว่า จะไปซื้อของฝากมาให้
สำหรับโทรศัพท์มือถือ ที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่า ผู้ตายคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา เรื่องนี้พี่ชายผู้ตายบอกว่า เมื่อได้มือถือกลับคืนมา ข้อมูลทุกอย่างถูกลบทิ้งไป และไม่มีคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ว่า ข้อมูลส่วนนี้หายไปไหน
ด้าน
นายพิชิต โสภาลุน ลูกพี่ลูกน้องของน.ส.ดวงจันทร์ ทวีพันธ์ ผู้เสียชีวิต เปิดเผยถึง ภาพรวมของผลการชันสูตรศพ น.ส.ดวงจันทร์ ว่าทุกโรงพยาบาล ลงความเห็นเป็นการเสียชีวิตโดยขาดอากาศหายใจ แต่ก็มีบางจุดที่รู้สึกว่าผิดปกติ เช่น โรงพยาบาลแรกที่มาชันสูตรในที่เกิดเหตุ ระบุว่ามีรอยฟกช้ำที่ใต้ตาขวา มีเลือดออกจากตาขวา ใบหน้าบวม เนื่องจากตำรวจอธิบายให้ครอบครัวฟังว่าเป็นการตกเลือดหลังเสียชีวิต แต่ดูจากสภาพศพไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากจุดไลวอล์ หรือการตกเลือดหลังเสียชีวิต ที่แพทย์ระบุไว้เกิดขึ้นบริเวณ ลำตัวแถบขวา ตั้งแต่ช่วงขา สีข้าง เนื่องจากผู้ตายนอนตะแคงขวาเสียชีวิต แต่ทำไมจุดที่เกิดรอยช้ำบริเวณใต้ตาขวา ถึงมีเพียงจุดเดียว ส่วนช่วงหู ข้างแก้ม จึงไม่เกิดรอยไลวอล์ ส่วนแผลภายนอกอื่น ๆ ไม่มีระบุในผลชันสูตร
จนมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ผลการชันสูตรระบุว่า ไม่พบแผลภายนอกร่างกาย แต่มีรอยฟกช้ำที่ลำตัว ดวงตา คอ ส่วนทรวงอกด้านบนมีเลือดคั่งร่วมกับไลวอล์ จึงยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้นไปอีกว่าเลือดคั่งเกิดจากอะไร ซึ่งครอบครัวยังไม่เคยได้ติดต่อกับแพทย์ที่เป็นคนผ่าศพ และอยากขอให้ตำรวจจากส่วนกลางช่วยประสานเรื่องนี้ให้ด้วย ขณะที่ผลชันสูตรของโรงพยาบาลตำรวจออกมาว่า ไม่พบบาดแผลภายนอก แต่พบยาพาราเซตามอลและยาลดน้ำหนักอยู่ภายในร่างกาย ประเด็นนี้ครอบครัวไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะรู้ว่า น.ส.ดวงจันทร์กินอยู่ และเข้าใจว่าผู้หญิงเป็นเพศที่รักสวยรักงาม พร้อมเชื่อว่ายาพาราเซตามอลที่หายไป 25 เม็ด น้องสาวไม่ได้กินเข้าไปเอง
นอกจากนี้ ครอบครัวยังสงสัยในบริเวณรถที่เข็มขัดนิรภัย เบาะหน้าด้านซ้ายที่ถูกดึงออกมากองอยู่ที่พื้นจนสุด และพังเสียรูป รวมถึงเข็มขัดสำหรับคาร์ซีทเด็ก ซึ่งอยู่บริเวณเบาะหลังช่วงกลางก็ถูกดึงออกมายาวประมาณ 1 วา ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากครอบครัวเราไม่มีเด็กเล็ก
ขณะที่
นายแพทย์สิทธา ลิขิตนุกูล แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรม เปิดเผยว่า การกินยาพาราเซตามอลไม่ควรกินเกินวันละ 6 เม็ด หากเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่ถึง 80 กิโลกรัม ไม่ควรกินเกินครั้งละ 1 เม็ด โดยการกินยาเกินขนาดตั้งแต่ 10,000 มิลลิกรัมขึ้นไป หรือ 20 เม็ด จะส่งผลในระยะที่ 1 ช่วงเวลาตั้งแต่ 1 ชั่วโมง - 1 วัน จะมีการอาเจียน เมื่ออาเจียนมาก ๆ ก็ทำให้อ่อนเพลีย แต่ไม่ได้ทำให้หลับแต่อย่างใด ต่อมาระยะที่ 2 ช่วงเวลา 1-3 วัน จะมีอาการปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือปวดตับ และค่าการทำงานของตับเริ่มเสื่อม ต่อมาระยะที่ 3 ช่วงเวลา 3-4 วัน หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีอาการไตวาย ตับวาย และบางคนอาจมีน้ำตาลในเลือดต่ำจนกระทั่งช็อกและเสียชีวิต หากโชคดีผ่านช่วงนี้ไปได้โดยที่ไม่เสียชีวิตก่อนก็จะเข้าสู่ระยะที่ 4 ที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัว
โดยวันเกิดเหตุผู้ตายซื้อยาพาราเซตามอลจากร้านสะดวกซื้อทั้งหมด 4 แผง หากกินไปทั้งหมด ถือว่าเป็นการกินยาเกินขนาด อย่างไรก็ตาม กว่าที่ร่างกายจะดูดซึมยาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงในกรณีที่ท้องว่าง ช่วงเวลาที่ผู้ตายขับรถจากร้านสะดวกซื้อไปจุดเกิดเหตุ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ยายังไม่ออกฤทธิ์ และหากออกฤทธิ์ก็ไม่ทำให้หมดสติหรือง่วงซึม นอกเสียจากว่าผู้ตายจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับยา จึงจะมีอาการง่วงซึมเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ สภาพศพที่มีการครอบถุงพลาสติก
นพ.สิทธา กล่าวว่า ลักษณะถุงที่พบค่อนข้างบาง และจากลักษณะการครอบหากไม่ได้มัดถุงไว้ก็ยังมีอากาศผ่านเข้าไปได้ นอกจากนี้หากผู้ตายขาดอากาศหายใจในขณะที่ยังคงมีสติอยู่ ก็น่าจะต้องมีการดิ้นรนตามสัญชาตญาณ โดยอาจกัดถุง หรือใช้มือช่วยในการดึงถุงออกศีรษะเพื่อให้รอดชีวิต
โดยมนุษย์สามารถขาดอากาศหายใจได้ไม่เกิน 5 นาที โดยหากขาดอากาศ 3 นาที เซลล์สมองจะเริ่มถูกทำลาย เมื่อฟื้นกลับมาสมองก็ไม่จะเหมือนเดิม จะเริ่มพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง บางคนก็สูญเสียความทรงจำ แต่หากขาดอากาศหายใจ 5 นาที เซลล์สมองจะถูกทำลายจนหมด จนอาจทำให้เสียชีวิตได้