กรณีตำรวจ สภ.เมืองสุราษธานี รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงเจ็บสาหัสกลางสี่แยกสวนหลวง เจ้าหน้าที่พบรถสีขาว ทะเบียน 9กง9585 สุราษธานี พบว่ากระจกฝั่งขวาแตกเสียหายจากการถูกยิง เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หลังถูกยิงเข้าที่ขมับขวา 3 นัด เป็นกระสุนชนิด 9 มม. และคนเจ็บสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นางสุชาวดี อินทรักษ์ พนักงานราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตำแหน่งหัวฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร ภรรยาของนายก่อเกียรติ อินทรักษ์ อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเมื่อวานนี้ ตำรวจได้มีการออกหมายจับน้องชายของสามีผู้เสียชีวิตแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 2 ก.ค. 64 ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษธานี พล.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร.สส.1 แถลงความคืบหน้าคดีนางสุชาวดี อินทรักษ์ ถูกนายพิษณุ อินทรักษ์ หรือ อู๊ด น้องชายของสามีคนตายยิงเสียชีวิต
พล.ต.อ.จารุวัฒน์ เปิดเผยว่า ชุดสอบสวนได้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับจากศาลสุราษฎร์ธานี ชุดสืบสวนได้ดำเนินการติดตามตัวคนก่อเหตุ โดยทราบว่าคือ นายพิษณุหรืออู๊ด อินทรักษ์ น้องชายของสามีคนตาย มีหลักฐานที่เชื่อมั่นได้ว่าเป็นคนก่อเหตุ จึงได้เข้าควบคุมตัวเมื่อวานนี้เวลา 18.30 น. ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่กาญจนดิษฐ์ พบพฤติกรรมการหลบหนี หลังจากที่จอดรถทิ้งเอาไว้ห่างไม่ไกลจากพื้นที่เกิดเหตุประมาณ 1.5 กิโลเมตร
เบื้องต้นได้มีการให้การรับสารภาพส่วนหนึ่ง และมีการภาคเสธอีกส่วนหนึ่ง แต่แรงจูงใจที่เกิดขึ้นนั้นเชื่อว่าเกิดจากการลงทุนร่วมกัน และทรัพย์มรดกที่เกิดขึ้นในครอบครัว แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงกลางสี่แยก พนักงานสอบสวนทราบข้อมูลว่า มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นที่ลานจอดภายในวัดขณะที่ไปร่วมงานศพ หลังจากที่มีปากเสียงก็ได้ขับรถติดตามมา จนกระทั่งถึงสี่แยกสวนหลวง จึงได้มีการก่อเหตุขึ้น
เบื้องต้นจะต้องมีการส่งตัวไปตรวจอย่างละเอียด เพื่อใช้ประกอบในสำนวนคดี ขณะที่เรื่องของการประกันตัวเบื้องต้นยังไม่ได้มีการพิจารณาในชั้นพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม กรณีรีสอร์ตที่เป็นจุดจับกุม ถ้าหากไม่ได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ที่พักพิง ก็ถือว่าไม่มีความผิดตามกฎหมาย เพราะในช่วงขณะเข้าจับกุมมีช่วงรอยต่อห่างจากการขออนุมัติหมายจับเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จึงเชื่อได้ว่าทางรีสอร์ตอาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทีมข่าวเดินทางไปที่รีสอร์ตจุดจับกุมนายพิษณุ นายเอส (นามสมมติ) คนดูแลรีสอร์ต ให้ข้อมูลว่า ตนเองติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดียิงนางสุชาวดี ภรรยาของอดีตรองนายกฯ อบจ. ซึ่งก็พอรู้จักหน้าคาดตาของผู้ต้องหา ถ้าหากพบว่ามีผู้ต้องหาเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ หรือมาเปิดเข้าพักในรีสอร์ต ตนเองก็สามารถที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่หรือว่าจำหน้าได้อย่างแม่นยำ
แต่ยืนยันว่าตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีผู้ต้องหารายดังกล่าวเข้ามาพักอาศัย เพราะการพักอาศัยอย่างน้อยต้องแสดงเอกสารยืนยันตัวตน โดยเฉพาะบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงอาจจะต้องมีการแจ้งชื่อ-นามสกุล จึงยืนยันว่าผู้ต้องหารายดังกล่าวไม่ได้เข้ามาอยู่ในรีสอร์ต และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เข้ามาจับกุมผู้ต้องหาภายในพื้นที่ของตนเอง แต่เห็นเมื่อช่วงค่ำวานนี้ มีรถตำรวจขับวนอยู่ในละแวกนี้ แต่มุ่งหน้าไปบริเวณสวนปาล์ม และสวนมะพร้าว จึงไม่รู้ว่ามีการจับกุมได้ในพื้นที่ใด
ทีมข่าวย้อนกลับไปที่ร้านขายของชำภายในซอยบ่อนไก่ ห่างจากจุดทิ้งรถประมาณ 700 เมตร ร้านดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดจับภาพวินาทีที่นายพิษณุ มาชื้อของกินในตอนเช้า หลังก่อเหตุยิงและหลบหนี คือวันที่ 1 ก.ค. 64 เวลา 07.54 น. โดยพฤติกรรมของนายพิษณุมาขอซื้อน้ำดื่ม 1 ขวด เครื่องดื่มเสริมสุขภาพ 1 ขวด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ถ้วย มีการยกมือทักทายเจ้าของร้านท่าทีปกติ
ที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของนางสุชาวดี อินทรักษ์ ผู้ตาย บรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความโศกเศร้า มีหน่วยงานราชการพื้นที่ บุคคลสำคัญ เดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจ และนำพวงหรีดมามอบให้กับ นายก่อเกียรติ อินทรักษ์ อดีตรองนายกฯ อบจ.สุราษธานี มีกำหนดฌาปนกิจศพในวันอังคารที่ 6 ก.ค. 64
นายก่อเกียรติ อินทรักษ์ สามีของผู้ตาย ให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ตนเองก็ยากที่จะทำใจยอมรับ และที่สำคัญคนที่ก่อเหตุก็คือน้องชายของตนเอง จึงยังทำใจไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อทุกอย่างชัดแบบนั้น ส่วนเรื่องสาเหตุที่เกิดขึ้นตนเองขอให้เป็นไปตามการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ยืนยันว่าตามข่าวที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ในสื่อต่าง ๆ ไม่ใช่สาเหตุและแรงจูงใจที่แท้จริง เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว และตัวของน้องชายเกิดความน้อยใจเข้าใจผิด จึงได้มีปากเสียงกับนางสุชาวดีคนตาย ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นกลางสี่แยก
ส่วนเรื่องการโพสต์ตัดพ้อ โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบพบการโพสในเฟซบุ๊ก ของนายพิษณุ ตนเองก็ยังไม่เห็นข้อความทั้งหมด เพราะยังยุ่งเกี่ยวกับการจัดงานศพ และข้อความที่มีการโพสต์ก็เป็นการโพสต์ด้วยความน้อยใจ แต่ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด
นายสหพล บัวคง น้องชายคนเล็กของผู้ตาย บอกว่า หลังจากที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวคนก่อเหตุได้ ตนเองในฐานะครอบครัวผู้สูญก็รู้สึกดีใจ ที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็รู้สึกเสียใจ ที่คนก่อเหตุคือคนใกล้ตัว ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทของตนเอง และเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางสุชาวดี คนตายเป็นอย่างดี แต่ตัวเองมองว่าด้วยเหตุที่คนทะเลาะกันหรือมีเหตุที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กลายเป็นว่าถึงกับขั้นลงมือยิงกันมันรุนแรงเกิน ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพียงแค่รู้สึกเสียใจว่าคนใกล้ตัวมายิงกันเองเท่านั้น
ขณะที่เรื่องของสภาพจิตใจคนในครอบครัวทั้งพ่อและแม่ รวมถึงหลาน 2 คน ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องคอยดูแลซึ่งกันและกัน เพราะไม่มีใครที่จะทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
อย่างไรก็ตาม อาการเกี่ยวกับการรักษาทางสมอง หรืออาการประสาทนายพิษณุเสพเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น ตนเองไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ในอาการป่วยหรือมีอาการผิดปกติหรือไม่ แต่เท่าที่รู้จักกันเจ้าตัวไม่ได้มีอาการป่วยอย่างที่พูดถึง