จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุตรดิตถ์ ได้แจ้งว่าที่มีเหตุยิงกันเสียชีวิต ที่บ้านหมู่ 5 ต.ผาจุก อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ จึงรุดไปที่เกิดเหตุ
พบศพ จ.ส.อ.เสนีย์ โรจนพร อายุ72 ปี อดีตทหารปลดเกษียณ สภาพศพโดนยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. จำนวน 5 นัด ที่บริเวณขาและหลัง นอนเสียชีวิตที่หน้าประตูบ้าน ส่วนผู้ก่อเหตุคือ ร.ท.สุรเดช บุญสังข์ อายุ 62 ปี อดีตทหารปลดเกษียณเช่นกัน
วันที่ 9 ก.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ เป็นบ้านชั้นเดียว 2 หลังติดกัน ฝั่งทางด้านซ้ายมือ ประตูสีน้ำเงิน เป็นบ้านของ ร.ท.สุรเดช ผู้ก่อเหตุ
ส่วนจุดที่ยิงคือบริเวณรั้วกำแพงปูนกั้นระหว่าง 2 บ้าน ที่มีสแลนกันแดดสีเขียวกันไว้ ทางด้านขวามือ ประตูสีฟ้าคือบ้านของ จ.ส.อ.เสนีย์ ผู้เสียชีวิต ทั้งสองบ้านปิดประตู้เงียบไม่มีคนอยู่
นางสาวจิตตรี เกลี้ยงจันทร์ อายุ 57 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต บอกว่า ตนอยู่กินกับ จ.ส.อ.เสนีย์ ผู้เสียชีวิต ประมาณ 30 ปี โดยหลังเกษียณอายุราชการ ได้มีการย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดที่อุตรดิตถ์ได้ 10 ปี อยู่รั้วชิดติดกัน ก็มีเรื่องบาดหมางกัน จากการพูดจาไม่เข้าหูกัน เรื่องเล็กน้อย ส่วนตัวขอใช้คำว่าเรื่องไร้สาระ แต่ทั้งคู่มีทิฐิที่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ซึ่งเวลาที่ ร.ท.สุรเดช ดื่มสุราก็มักมีพฤติกรรมที่ชอบเป็นคนหาเรื่องด้วยการด่าทอคำหยาบคาย ส่วนตัวก็มีการห้ามสามีมาโดยตลอด บอกว่าช่างมัน ปล่อยเรื่องพวกนี้ไป แต่บางทีก็เข้าใจสามีว่าอดไม่ได้บ้าง ที่มีคนอายุน้อยกว่ามาด่าว่า ไม่ให้ความเคารพ
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทรุนแรง ส่วนใหญ่จะเป็นแค่การด่าทอด้วยคำหยาบคาย แล้วก็จบกันไป ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุรุนแรงแบบนี้ วันเกิดเหตุตนนั่งคุยกับสามีที่บริเวณหน้าบ้านได้ยินเสียงด่าคำหยาบของ ร.ท.สุรเดช คาดว่าน่าจะอยู่ในอาการมึนเมาสุรา แต่ยอมรับว่าสามีก็มีการตอบโต้กลับไป สักพัก ร.ท.สุรเดช เปิดสแลนสีเขียวที่บังอยู่ตรงริมรั้ว เปิดเข้ามายิงจากฝั่งบ้านของเขาเข้ามาโดนที่บริเวณขาข้างขวาสามี 1 นัด ขณะนั้นตอนรู้สึกตกใจมาก จึงรีบอุ้มและพยายามพยุงตัวสามีเข้าไปในบ้าน แต่ ร.ท.สุรเดช ก็ยิงปืนรัวซ้ำอีกประมาณ 3-4 นัด เข้าที่บริเวณขา และหัวไหล่ขวาซ้ำอีกครั้ง ทำให้สามีเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งก่อนเกิดเหตุ ไม่ได้มีลางสังหรณ์บอกเหตุ
ส่วนตัวมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวค่อนข้างเกินกว่าเหตุ เนื่องจากปมปัญหาที่ทะเลาะกันเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ควรจะหยิบมาเป็นเรื่องที่โกรธแค้นกัน การใช้ปืนยิงลักษณะแบบนี้นั่นหมายเอาชีวิตให้ตาย สภาพจิตใจของตนในขณะนี้ค่อนข้างแย่ เมื่อคืนพยายามจะข่มตานอนให้หลับก็ทำไม่ได้ กินข้าวก็ไม่ค่อยได้ และยังทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ยืนยันว่าไม่มีปัญหากัน เพราะแยกกันคนละส่วน แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่ได้พูดคุยกับพี่สาว ภรรยาคนก่อเหตุเลย
ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย มีความกังวลใจว่า ร.ท.สุรเดช จะได้รับการประกันตัว เนื่องจากเหลือแต่ตัวคนเดียว ไม่มีลูก ไม่มีใครอยู่ด้วย แล้วถ้าได้รับประกันตัวแล้วออกมาก่อเหตุอีก ตนก็กลัวเรื่องของความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุตรดิตถ์ ให้ข้อมูลว่า ร.ท.สุรเดช ผู้ก่อเหตุ รับสารภาพทั้งหมด โดยปมสาเหตุมีเรื่องของการให้ความเคารพกัน ในการนับศักดิ์พี่เขยน้องเขย และมักจะมีการด่าทอด้วยคำหยาบหลายครั้ง จนเป็นความแค้นสะสม ซึ่งตอนก่อเหตุ ร.ท.สุรเดช ก็มีอาการมึนเมาด้วย แต่สิ่งที่ยังคงขัดกันอยู่คือต่างฝ่ายต่างโยนให้กันในเรื่องของคนที่เริ่มต้นด่ากันก่อนลงมือยิง ซึ่งปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นอาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อบาเรตต้า สีดำขนาด 9 มม. ถูกต้องตามกฎหมาย
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และใช้อาวุธปืนในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมชนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตำรวจคัดค้านการประกันตัว เตรียมส่งฝากขังไปยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ในวันพรุ่งนี้ต่อไป
นางนุสรา เกลี้ยงจันทร์ อายุ 55 ปี เพื่อนบ้าน น้องสะใภ้ของภรรยาผู้เสียชีวิต บอกว่า ตนอาศัยบ้านติดกันกับ จ.ส.อ.เสนีย์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งตั้งแต่ จ.ส.อ.เสนีย์ เกษียณราชการก็มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ประมาณ 10 ปี ก็มีเรื่องบาดหมางมากันตั้งแต่เริ่มแรก โดย จ.ส.อ.เสนีย์ อายุ 72 ปี ซึ่งอายุมากกว่า ร.ท.สุรเดช ผู้ก่อเหตุ 10 ปี แต่ผู้ก่อเหตุมีศักดิ์เป็นพี่เขย
ซึ่งก็จะมีเรื่องทิฐิของทั้งคู่ เนื่องจากเป็นทหารด้วยกัน โดยฝ่ายร.ท.สุรเดช ผู้ก่อเหตุ มีศักดิ์เป็นพี่เขย ก็อยากให้ จ.ส.อ.เสนีย์ เคารพนับถือ ส่วน จ.ส.อ.เสนีย์ เป็นน้องเขยก็จริง แต่ก็อายุมากกว่า ก็มองว่าคนอายุน้อยกว่าก็ควรที่จะเคารพผู้ที่อายุเยอะกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการบาดหมางกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดไม่เข้าหูกัน มีการด่าคำหยาบคาย ด่าทอ แจกของลับกันลอย ๆ เป็นประจำต่างคนต่างไม่ยอมกัน แต่ก็ไม่เคยมีเหตุรุนแรงกัน เนื่องจากภรรยาของทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน
ทั้งนี้ เท่าที่ตนจำได้ สมัยที่ จ.ส.อ.เสนีย์ มาอยู่แรก ๆ ร.ท.สุรเดช เลี้ยงไก่ แล้วไก่ในบ้านก็บินเข้ามาในบ้านเกาะรั้วบ้าน แล้วขี้เรี่ยราด จ.ส.อ.เสนีย์ ก็ไปเตือนว่าให้ระมัดระวังไก่ในบ้าน แต่ทางด้านของ ร.ท.สุรเดช ก็ไม่พอใจ จากเดิมที่แค่เขม่นกันเพราะเรื่องศักดิ์ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกลายเป็นไม่ชอบขี้หน้ากัน แล้วก็จะด่ากันประจำจนกลายเป็นเรื่องปกติ
วันเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. ตนได้ยินเสียงทั้ง 2 คนด่ากันในลักษณะเป็นคำหยาบ และแจกของลับ ตนได้ยินบ่อย เลยไม่ได้เอะใจ สักพักได้ยืนเสียงปืนดัง 1 นัดแรก ตนได้ยินเสียง จ.ส.อ.เสนีย์ ร้อง"โอ้ย" จากนั้นได้ยินเสียงนางสาวจิตตรี ภรรยาผู้เสียชีวิตบอกให้สามีลุกขึ้น แล้วก็ได้ยินรัวปืนอีกประมาณ 3-4 นัดติดกัน จากนั้นตนก็รีบแจ้งผู้ใหญ่บ้าน แล้ววิ่งออกไปดู พบ จ.ส.อ.เสนีย์ นอนหายใจรวยรินอยู่คาอกของภรรยา และเสียชีวิตไป ตนมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวค่อยข้างรุนแรง และเกินกว่าเหตุอย่างมาก
นางนเรศ บุญสังข์ ภรรยาผู้ก่อเหตุ อายุ 59 ปี บอกว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด เพราะตอนเกิดเหตุตนไปทำงาน ไม่ได้อยู่บ้าน คาดว่าสาเหตุเกิดจากการที่เข้ากันไม่ได้ มีปัญหาที่ไม่ลงรอยสะสมกันมานาน ส่วนตัวเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ ส่วนปืนที่ใช้ลงมือก่อเหตุ เป็นอาวุธปืนที่ ร.ท.สุรเดช สามีของตนพกพาประจำ และมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
นิสัยของ ร.ท.สุรเดช ปกติก็เป็นคนดี และก็ไม่ได้ชอบดื่มสุราประจำขนาดนั้น แต่เรื่องของการด่ากันก็พอกันทั่งคู่ ซึ่งตนก็เคยเตือนแล้วว่าเป็นคู่เขยกัน ให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดจากัน แต่ก็ไม่เป็นผล ตนเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยม ร.ท.สุรเดช ที่ สภ.เมือง สภาพจิตใจของ ร.ท.สุรเดช ยังปกติดี กำลังใจดี ไม่ได้มีความเครียดหรือวิตกกังวล ซึ่งตนตั้งใจจะพาลูกชายวัย 10 ปีไปเยี่ยม ก่อนที่จะถูกฝากขังในวันพรุ่งนี้ จะมีการประกันตัวหรือไม่ ตนยังตอบไม่ได้
ตนยืนยันว่าจะไปร่วมงานศพ จ.ส.อ.เสนีย์ แต่ขอเคลียร์ธุระในส่วนที่ตนต้องทำให้เสร็จก่อน เพราะ จ.ส.อ.เสนีย์ ก็คือสามีของน้องสาวตน และยืนยันว่าความสัมพันธ์ของตนและน้องสาวจะยังคงดีเหมือนเดิม
ทีมข่าวเดินทางไปยังม่อนผาจุก หมู่ 5 ต.ผาจุก อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ภายในศาลาวัด ถูกจัดตั้งงานศพของ จ.ส.อ.เสนีย์ โรจนพร อายุ 72 ปี ผู้เสียชีวิต โดยมีภรรยา และญาติของผู้เสียชีวิตเดินทางมาร่วมอาบน้ำศพ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
ด้านพันตรีชาญชัย อายุ 63 ปี เพื่อนผู้เสียชีวิต บอกว่า ตนรู้จักกับผู้เสียชีวิตตั้งแต่สมัยยังรับราชการทหาร ตนนับถือ จ.ส.อ.เสนีย์ เป็นรุ่นพี่ ตอนยังมีชีวิตอยู่ จ.ส.อ.เสนีย์ เป็นสีสันของหน่วย ชอบเป็นพิธีกรในงานต่าง ๆ ชอบร้องเพลงสร้างความสนุกและรอยยิ้มให้กับคนรอบข้าง และยังชอบเป็นดีเจจัดรายการในหน่วยค่ายทหาร ตนทราบข่าวเมื่อวานช่วงเย็นก็รู้สึกตกใจ เพราะเพิ่งคุยกันว่าจะไปทำบุญด้วยกันสิ้นเดือนนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่สนิทกันมาก เพราะชอบชักชวนกันไปทำบุญร่วมกัน
ตนมองว่าการเอาปืนมายิงกันแบบนี้ ค่อนข้างทำเกินกว่าเหตุ ตนรู้สึกสงสาร เพราะเหมือนตัวเขาเองก็ป่วยมีโรคประจำตัว และที่สงสารมากที่สุดคือ ภรรยาของผู้เสียชีวิตเพราะเขาไม่มีลูก ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ทางตนและภรรยาจึงอาสาตัวเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกพาไปทำธุระที่สถานีตำรวจ และช่วยทำบุญเป็นเจ้าภาพในการสวดอภิธรรมศพด้วย คิดว่าทำหน้าที่แทน จ.ส.อ.เสนีย์ รุ่นพี่ที่ตนเคารพรัก