จากรณีพลทหารคชา พะชะ หรือ เข้ม อายุ 22 ปี ถูกพลทหารรุ่นพี่รุมซ้อมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกนำตัวส่งที่ รพ.อานันทมหิดล ในคืนวันที่ 21 ส.ค. 61 โดยมีอาการหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ร่างกายไม่ตอบสนอง และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ต่อมาได้มีอาการสมองบวม ปอดติดเชื้อ ไตวาย และล่าสุด มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นวิกฤติ โดยทีมแพทย์ได้ทำการรักษาอาการอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันที่ 14 ก.ย. 61 เสียชีวิตลงแล้ว (อ่าน :
สุดยื้อ! “พลทหารคชา” ถูก 3 รุ่นพี่ซ้อม เสียชีวิตแล้ว)
เมื่อเวลา 13.00 น. นางรุ่งฤดี สิหะวงษ์ พร้อมนายคมฉัน พะชะ แม่และพ่อของพลทหารคชา นำร่างของพลทหารคชา เข้าชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิต ส่วนเหตุผลที่ส่งศพมาชันสูตรซ้ำที่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากอยากให้ทุกอย่างโปร่งใส เกิดความชัดเจนของการเสียชีวิต
นายคมฉัน พ่อของพลทหารคชา เปิดเผยว่า ครอบครัวได้ทำใจมาก่อนหน้านี้แล้วระยะหนึ่ง เพราะอาการของน้องทรุด ซึ่งเมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของลูก ครอบครัวไปทำบุญให้ ทั้งนี้ ตนขออโหสิกรรมให้กับพลทหารทั้ง 3 นาย หากเป็นไปได้ก็อยากพลทหารทั้ง 3 นายเข้าขอขมาศพลูกชายของตน จะได้หมดเวรหมดกรรม
ขณะที่
นางรุ่งฤดี แม่ของพลทหารคชา เล่าถึงวินาทีก่อนลูกชายเสียชีวิตว่า ตนคอยจับมือลูกอยู่ตลอด ตั้งแต่ทราบเรื่องจากแพทย์ และบอกกับลูกว่า ขอให้บุญกุศลที่แม่สร้างมาพาลูกไปแบบสงบ ไม่ต้องเจ็บต้องทรมาน เพราะพ่อแม่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว
นางรุ่งฤดี กล่าวว่า ลูกชายของตนเข้าเป็นพลทหารผลัดที่ 2 มาประมาณ 1 ปีกว่า เหลืออีก 7 เดือน ก็จะปลดประจำการออกมาแล้ว แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน
ทีมข่าวลงพื้นที่บ้านของพลทหารคชา บ้านหนองบัวลี ม.3 ต.ไทยสามัคคี อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์
น.ส.วรรณิสา บุญตา อายุ 24 ปี ภรรยาของพลทหารคชา ตั้งครรภ์ 6 เดือน เปิดเผยว่า พลทหารคชาเข้ารักษาตัวรวมเป็นเวลา 25 วัน ที่ผ่านมามีอาการทรงมาตลอด มีบางช่วงที่ดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น โดยล่าสุด หัวใจหยุดเต้น ไตวาย ติดเชื้อในกระแสเลือด สมองบวม และความดันต่ำ ซึ่งตนก็เริ่มทำใจไว้บ้างแล้ว จนกระทั่งก่อนหน้านี้ 3-4 วัน สามีอาการทรุดลง ซึ่งแพทย์ก็สอบถามญาติว่า หากหัวใจหยุดเต้นอีกรอบจะปั๊มหรือไม่ แต่หากปั๊มก็เพื่อยื้อเวลาเป็นชั่วโมงหรือนาทีเท่านั้น ตนจึงตัดสินใจว่าจะไม่ปั๊มแล้ว เพราะสงสารสามี
จนเมื่อวานที่ผ่านมา (13 ก.ย. 61) เป็นวันเกิดอายุครบ 22 ปี ของสามี ตนไปทำบุญถวายผ้าไตรที่วัด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลช่วงเย็น พบว่าสามีตัวบวม มือบวม ตาปิดไม่สนิท ปากสีดำคล้ำ ซึ่งดูแย่ลงกว่าทุกวัน คล้ายเป็นสัณญาณบางอย่าง
จนกระทั่งช่วงเช้าที่ผ่านมา เวลาประมาณเกือบ 06.00 น. แพทย์ตามตนเข้าไปในห้องรักษาตัว เมื่อเข้าไปถึง ก็พบว่าสามีเสียชีวิตแล้ว เพราะชีพจรและความดันหยุดทำงาน โดยพยาบาลแจ้งว่า ตอนแรกความดันเริ่มต่ำลง จึงรีบแจ้งญาติ แต่ก็ไม่มีใครเดินเข้าไปดูใจทัน ซึ่งตนก็ได้เข้าไปบอก ให้สามีไปสู่สุขคติ และได้ไปอยู่ในที่ดี ๆ โดยที่ผ่านมา ตนก็ไม่เคยคุยกันว่า หากไม่มีสามีแล้วจะทำอย่างไร รู้แค่ว่า อยากให้ออกมาจากค่าย มาช่วยกันทำงาน
น.ส.วรรณิสา พูดทั้งน้ำตาคลอว่า ตนได้บอกสามีแล้วว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุด รวมถึงให้น้องโฟกัส ลูกคนโต เข้าไปกราบศพพ่อ ส่วนคดีความ ยังรอผลการชันสูตรไปประกอบสำนวน ซึ่งตนก็ให้ทางทหาร และตำรวจดำเนินการ โดยไม่ได้ติดใจ และอโหสิกรรมให้กับผู้ที่ลงมือก่อเหตุแล้ว เพราะไม่อยากจองเวรต่อกัน
นอกจากนี้ พลทหารที่เสียชีวิตขณะประจำการ ปี 2552 - 2559 ได้แก่ พลทหารรนพ เครือสุข ในปี 2552, พลทหารวิเชียร เผือกสม ในปี 2554, พลทหารสมชาย ศรีเมืองคอย ในปี 2557 และพลทหารทรงธรรม หมดหมัด ในปี 2559
พลทหารที่เสียชีวิตขณะประจำการ ปี 2560 ได้แก่ พลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม, พลทหารนภดล วรกิจพันธ์ และพลทหารอดิศักดิ์ น้อยพิทักษ์
ล่าสุด พลทหารที่เสียชีวิตขณะประจำการ ปี 2561 ได้แก่ พลทหารมูฮัมหมัดตัวฟาน เจ๊ะมะ, พลทหารกิตติศักดิ์ บุญมณี และพลทหารคชา พะชะ